ปราโมทย์ นาครทรรพ
1.
จากหนังสือ
เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์
สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
บุญสนองเรียนวิชาสังคมศาสตร์
ข้าพเจ้าเรียนวิชารัฐศาสตร์ วิชาทั้งสองต่างกันไม่มากแต่บุญสนองเถียงว่ามาก
เพราะวิชาสังคมวิทยาเป็นวิชาก้าวหน้า เป็นเรื่องของพลังและการเปลี่ยนแปลงในสังคม
ส่วนวิชารัฐศาสตร์เป็นวิชารักษาของเก่า คือรัฐบาลและระบบปกครอง
ดังนั้นพวกเรียนรัฐศาสตร์มักจะหัวเก่า ซึ่งก็ไม่ผิด
ยุคที่เราเรียนอยู่อเมริกานั้นเป็นยุคทองของนักศึกษาหัวก้าวหน้า
จะเห็นได้ว่าพวกที่แข่งขันในการคัดค้านระบบเก่า
คัดค้านสงครามเวียดนามมักจะเป็นนักเรียนทางวิทยาศาสตร์ และสังคมวิทยา
พวกชอบเข้าข้างรัฐบาลได้แก่พวกนักเรียนแพทย์ รัฐศาสตร์ และ กฎหมาย
บุญสนองเป็นคนที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองเป็นคนขี้เกียจ
เพราะไม่ว่าเมื่อใดที่ปลอดเพื่อนฝูงข้าพเจ้าเข้านอนแต่หัวค่ำ ก็ยังได้ยินเสียงพิมพ์ดีดของบุญสนองต้อกแต้กๆ
หรือไม่ก็เสียงบุญสนองเองท่องศัพท์ภาษาญี่ปุ่นงึมงำๆ อยู่
ได้ความว่ายังไม่ได้เข้านอน
บุญสนองเรียนหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตาย
ข้าพเจ้าภูมิใจในความสามารถของเขา ที่แผนกสังคมวิทยามีศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงดี
อ.โรบิน วิลเลียนส์ นักเรียนมักจะพากันหลบ แต่บุญสนองกลับเข้าคลุก
ตั้งให้เป็นประธานที่ปรึกษา
บุญสนองทำคะแนนได้ดีเยี่ยม
เขียนเปเปอร์ได้ดีเหมือนฝรั่ง
ส่งบทความวารสารที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้ก่อนจบปริญญาเอก และหนังสือของ โรบิน
วิลเลียมส์ ซึ่งอ่านกันแพร่หลายที่สุดในอเมริกา มีชื่อของบุญสนองเป็นผู้รับความขอบคุณอยู่ด้วย
ข้าพเจ้ามั่นใจว่าจะได้เห็นหนังสือแต่งโดย บุญสนอง
เป็นตำราเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นสูงในต่างประเทศ
ที่ฮาร์วาร์ด
บุญสนองได้เรียนกับศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงเด่นที่สุดในโลกหลายคน เช่น ปาร์สัน
และสิปเซท เป็นต้น คนหลังเป็นฝ่ายก้าวหน้าและสนใจขบวนการของนักศึกษาเป็นพิเศษ
บุญสนองคงจะได้รับอิทธิพลไม่น้อยมาจากลิปเซท
ชีวิตนักศึกษาของบุญสนองเป็นชีวิตที่รุ่งโรจน์
เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ อาจารย์ และวงวิชาการของตนอย่างกว้างขวาง
ครั้งหนึ่งยูเนสโก เชิญเขาไปประชุมสังคมวิทยาโลกที่บุลแกเรีย
ในวงการสังคมวิทยาชื่อของบุญสนองเป็นที่รู้จักกันทั่วไป
งานหรือแนวความคิดที่มีอิทธิพลต่อบุญสนอง มาจากนักสังคมวิทยาก้าวหน้า เช่น มิลล์ ,
ลิปเสท , ดาเรนดอร์ฟ ปัญญาชนเหล่านี้เป็น
พวกที่อยากรับใช้ผู้ที่ถูกกดขี่ในสังคม
เป็นพวกที่คัดค้านด้านสงคราม และต่อต้านนโยบายรัฐบาลอเมริกันอย่างไม่หวั่นไหว
บุญสนองเขียนวิทยานิพนธ์ยังไม่ทันเสร็จดีก็ได้รับเชิญไปเป็นศาสตราจารย์รับเชิญ
ณ.มหาวิทยาลัยฮาวาย
แม้แต่ชื่อ
“ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
ข้าพเจ้าก็เดาเอาว่ามาจากหัวคิดของบุญสนอง
เพราะเป็นชื่อที่มีกลิ่นนมกลิ่นเนยคลุ้งเป็นอเมริกาจ๋าอยู่ บุญสนองและข้าพเจ้าเห็นพ้องกันว่า
รัฐบาล อจ.สัญญา ไม่ควรใช้ “ธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร”
ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เผด็จการทิ้งไว้ มาใช้เป็นรากฐานในการร่าง
รัฐธรรมนูญใหม่
แต่ดูเหมือนทุกฝ่ายจะตกอยู่ในภาวะจำยอม
ถึงแม้จะสนใจในรัฐธรรมนูญที่จะร่างออกมาใหม่
เรา
ภายหลังบุญสนองจึงได้ร่วมจัดตั้ง
และได้รับเลือกเป็นเลขาธิการคนแรกของพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย
พวกเราทุกคนก็เอาใจช่วยขอให้เขาโชคดี
เพราะเชื่อมั่นในความสามารถ ความจริงใจ
และความเด็ดเดี่ยวของเขาที่จะรับใช้ชาติบ้านเมืองตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย
พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย
และ บุญสนอง เลขาธิการพรรค ได้แสดงความทระนงองอาจ รักชาติ
รักประชาชนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนรุ่นใหม่
ข้าพเจ้าทราบว่าบุญสนองทำงานให้กับพรรคอย่างทุ่มเทชีวิตจิตใจ
นั่นเป็นลักษณะของเขาไม่ว่าจะทำอะไร เขาไม่เคยย่อท้อที่มีการต่อต้านใส่ร้ายป้ายสี
แม้แต่ข่มขู่จะเอาชีวิต
ข้าพเจ้าต้องยอมรับโดยปราศจากความลำเอียงว่า
บุญสนองบนโต๊ะของการต่อรอง...เป็นคนที่สมองแล่น วาจาหลักแหลม จุดยืนมั่นคง
และรักษาผลประโยชน์ของประชาชน โดยไม่ยอมถอยแม้สักกระเบียดนิ้ว เสรีภาพของประชาชน
ความผาสุกของมวลชน ย่อมอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
คืนที่บุญสนองถูกล่าสังหาร
เขาบอกทัศนีย์ว่าเหงา เขาโทรไปบอกประหยัดให้ตามหาเพื่อน ๆ
ข้าพเจ้าไม่ได้พบเขามานาน
คืนหนึ่งก่อนสมัครรับเลือกตั้งได้พบเขาแวบเดียว
เขายังครุ่นคิดถึงการเมืองอยู่ แต่คนอื่นบอกว่า เขากำลังจะกลับไปเป็นอาจารย์ที่เกษตร
ใครก็ตามที่ทำร้ายบุญสนอง
ขอได้โปรดรับทราบไว้ด้วยเถิดว่า
..........เขาได้ฆ่าลูกชายที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย
..........เขาได้ฆ่านักวิชาการที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก
..........เขาได้ฆ่าเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของประชาชน
ขอได้โปรดรับทราบไว้ด้วยเถิดว่า
....ลูกชายและเพื่อนที่ดีของประชาชนนั้นฆ่าไม่ตาย....บุญสนอง
บุณโยทยาน....จะไม่มีวันตาย.....
2.
จากหนังสือ
รำลึกถึง 6 ตุลาคม
บ้านเมืองที่อาจารย์ป๋วยอยากเห็น เพิ่งจะส่งแสงแห่งความหวังรำไรเมื่อ 14 ตุลาคม ทำให้บุคคลหนึ่ง กระโจนพรวดออกมาจากโลกวิชาการเต็มตัว นั่นก็คือดร.บุญสนอง บุณโยทยาน เจ้าของบ้านที่ ดร.กมล สมวิเชียร เขียนในมติชนว่า คณะนักวิชาการได้คอยดักรับตัวอาจารย์ป๋วยไปจากสนามบิน เพื่อขอร้องให้เป็นผู้นำพรรคการเมือง
ก่อนชะตากรรม 6 ตุลาคมของอาจารย์ป๋วยเพียง 7 เดือน ในตอนดึกของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2519 ดร.บุญสนอง ถูกลอบสังหารบนถนนวิภาวดีรังสิต ในขณะที่จะเลี้ยวรถกลับเข้าบ้าน
บ้านเมืองที่อาจารย์ป๋วยอยากเห็น เพิ่งจะส่งแสงแห่งความหวังรำไรเมื่อ 14 ตุลาคม ทำให้บุคคลหนึ่ง กระโจนพรวดออกมาจากโลกวิชาการเต็มตัว นั่นก็คือดร.บุญสนอง บุณโยทยาน เจ้าของบ้านที่ ดร.กมล สมวิเชียร เขียนในมติชนว่า คณะนักวิชาการได้คอยดักรับตัวอาจารย์ป๋วยไปจากสนามบิน เพื่อขอร้องให้เป็นผู้นำพรรคการเมือง
ก่อนชะตากรรม 6 ตุลาคมของอาจารย์ป๋วยเพียง 7 เดือน ในตอนดึกของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2519 ดร.บุญสนอง ถูกลอบสังหารบนถนนวิภาวดีรังสิต ในขณะที่จะเลี้ยวรถกลับเข้าบ้าน
ขณะนั้น เราเพ้อกันว่า เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งตอนที่เรียนอยู่เมืองนอก ดร.บุญสนองและเพื่อนๆ ลงมติว่า สิ่งที่อยากเห็นที่สุดในเมืองไทย ก็คือขบวนการยุติธรรม อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า due process of law หรือการรักษาและปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายโดยเคร่งครัด ที่ทุกคนเชื่อและพึ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการหรือศาล
หากจำไม่ผิด ดร.กมล สมวิเชียรเป็นคนบอกผมว่า คณะบุคคลที่สังหารดร.บุญสนอง เกือบหรือฆ่าอาจารย์ป๋วยทั้งเป็น และต่อมาปลิดชีวิตของ พลเอกกฤษณ์ สีวะรา ล้วนแล้วแต่เป็นคนในแวดวงคณะเดียวกันทั้งสิ้น คือผู้ สูญเสียอำนาจ14 ตุลาคม และผู้สืบสันดาน ซึ่งได้หวนกลับมาล้างแค้น จนสำเร็จในวันที่ 6 ตุลาคม 2519
ความผิดของบุคคลทั้งสามที่เหมือนกัน ก็คือ ไปเข้ากับพวก 14 ตุลาคม!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น