วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทสัมภาษณ์: เป็นกลางทางวิชาการพอได้ แต่เป็นกลางทางการเมืองไม่ได้


ประชาชาติรายสัปดาห์ ปีที่ 2 ฉบับที่ 59, 2 มกราคม 2518

ในระยะนี้เป็นระยะเวลาที่พรรคการเมืองต่าง ๆ เริ่มรณรงค์หาเสียงกันเป็นการใหญ่ และเป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่าในพรรคการเมืองแต่ละพรรค ต่างก็มีนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิและมีชื่อเสียงเป็นอาจารย์ ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงานของพรรคต่าง ๆ อย่างจริงจังให้สมกับที่ถูกเขาห้ามกันมานานมีทั้งที่ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการตำแหน่งต่าง ๆ หรือเป็นที่ปรึกษาของพรรค และที่อ้างว่าเป็นเพียงที่ปรึกษาหรือกรรมการของพรรคชนิด “อย่างไม่เป็นทางการ” เท่าที่ ประชาชาติ สามารถจะรวบรวมรายชื่อได้ภายในเวลาอันจำกัดก็มีอยู่ถึงร่วม 30 กว่าคน ส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่มีที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ เท่าที่ทราบยังมีอาจารย์มหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคหลายคนที่มีกิจกรรมในพรรคการเมืองอยู่

การที่อาจารย์ ในมหาวิทยาลัยในยุคนี้แสดงออกถึงบทบาท และความสนใจทางการเมือง ไดรับตำแหน่งสำคัญ ๆ ในการบริหารประเทศแทนทหาร จนดูคล้ายอำนาจทางการเมืองหลัง 14 ตุลาที่เปลี่ยนมือไป ตลอดจนการพาตัวเองไปทำงานให้กับพรรคการเมืองต่าง ๆ ทำให้ประชาชนเริ่มจะเอะใจ และพากันคิดพิจารณาว่าผลที่จะเกิดขึ้นนั้น จะมีผลดี และผลเสียอย่างไรบ้าง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยจำนวนมาก มหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคหลายคน  และต่างคนก็เป็นผู้ที่มีความสามารถกันทั้งนั้นพากันลาออกจากมหาวิทยาลัย มุ่งไปเล่นการเมืองกันเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นไปโดยความสมัครใจด้วยความสำนึกทางการเมืองหรือเลวร้ายถึงขนาดถูกกีดกันให้ออกจากมหาวิทยาลัยไปด้วยวิธีการต่าง ๆ จึงหันมาเล่นการเมือง ซึ่งจะเกิดผลเสียแก่การศึกษาชั้นอุดมของชาติกว้างขวางสักขนาดไหน การที่รัฐจะสร้างอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยขึ้นมาสักคนหนึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำกันง่าย ๆ ในเวลาเพียงปีสองปี งบประมาณที่รัฐต้องจ่ายไปในการส่งอาจารย์แต่ละท่านไปศึกษาต่อ หรือดูงานในต่างประเทศ จะไม่กลายเป็นการลงทุนในทรัพยากรที่ต้องสูญเปล่าไปหรอกหรือ

หากเราจะมองไปในมุมกลับ ถ้าพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นมาในเวลานี้ต่างเป็นพรรคที่ขาดการวิวัฒนาการทางการเมืองอันยาวนาน ขาดนักการเมืองระดับมืออาชีพ ไม่มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากผู้ทรงคุณวุฒิทางปัญญา เช่นอย่างบรรดาอาจารย์ตามมหาวิทยาลัย เพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยมัวแต่เก็บตัวอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย การพัฒนาทางการเมืองในรูปพรรคการเมืองจะไปกันได้สักกี่น้ำ การเมืองยังคงเป็นเรื่องผู้แสวงหาประโยชน์ทางการเมือง

แง่คิดต่าง ๆ เหล่านี้คงจะมีวิธีตอบได้หลายอย่าง ในโอกาสนี้ ประชาชาติจึงขอเสนอข้อคิดเห็นของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่มาเล่นการเมืองคนหนึ่ง คือ นายบุญสนอง บุณโยทยาน หัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ประชาชาติ: เป็นการเหมาะสมหรือไม่ที่อาจารย์มหาวิทยาลัยจะมาเล่นการเมือง

บุญสนอง: การตั้งคำถามนี้เป็นการแสดงเป็นการแสดงทัศนะทางการเมืองของผู้ถามอย่างโจ่งแจ้งแล้ว คำถามเช่นนี้แสดงว่าผู้ถามจะไม่เห็นด้วยที่อาจารย์มหาวิทยาลัยมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง ผมไม่ยอมรับว่าผมเล่นการเมือง แต่ผมมีทัศนะและการแสดงออกในทางการเมืองอย่างแน่นอนและจริงจัง แต่ก่อนก็มีอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยและข้าราชการในกระทรวงต่าง ๆ เป็นอันมาก เข้าไปมีส่วนรับใช้ผู้มีอำนาจทางการเมืองอย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่สมัยจอมพลแปลก ตลอดจนมาถึงสมัย สฤษดิ์, ถนอม ก็ปรากฏว่ามีบุคคลในมหาวิทยาลัย ทำหน้าที่เป็นกรรมการกลางที่ปรึกษาของพรรครัฐบาลเผด็จการ เป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ได้นับสิบ ๆ ปีก็ยังไม่เสร็จ เขาเหล่านั้นเกี่ยวกับการเมืองอย่างชัดเจน และเป็นการเมืองฝ่ายขวาหรือฝ่ายกุมอำนาจ เป็นที่น่าประหลาดว่าบุคคลนั้นไม่เคยท้วงติงตัวเองว่า “เล่นการเมือง

หลังตุลาคม 2516 อาจารย์มหาวิทยาลัยรวมทั้งข้าราชการประเภทต่าง ๆ จำนวนร้อยถูกแต่งตั้งเข้าไปทำหน้าที่ในทางการเมืองให้แก่รัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ ประชาชนทั่วไปเขารู้ทั้งนั้นว่าคนเหล่านี้ใช้โอกาสและตำแหน่งเพื่อหาผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่ค่อยมีใครโต้แย้งว่าอาจารย์หรือข้าราชการทั่วไปเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ผมกำลังเข้าใจว่าอาจเป็นไปได้ที่ใครก็ตามมีบทบาทเกี่ยวข้องกับการเมือง ฝ่ายขวาหรือฝ่ายที่กุมอำนาจนั้นเขามีสิทธิชอบธรรม และในทางตรงกันข้ามแม้แต่ประชาชานคนเดินถนนทั่วไป ถ้าลงได้มีกิจกรรมทางการเมือง ในแนวทางของประชาธิปไตยหรือทางซ้ายก็มักจะถูกสาดโคลนกล่าวร้ายป้ายสี ถูกกลั่นแกล้งจับกุม คุมขังเป็นปรกติธรรมดา

ประชาชาติ: มหาวิทยาลัยเป็นข้าราชการประจำ การไปมีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมืองจะดีหรือ

บุญสนอง: กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือรัฐมนตรีจะเป็นข้าราชการประจำไม่ได้ กฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายพรรคการเมืองก็มิได้ห้ามข้าราชการประจำเป็นสมาชิกหรือกรรมการพรรคการเมืองแต่อย่างใด เมื่อเร็ว ๆ นี้นายกสมาคมข้าราชการพลเรือนคือ ประยูร เถลิงศรี ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้อง ข้าราชการประจำไม่ให้สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด ๆ โดยอ้างว่าจะทำให้เกิดความไม่เป็นกลาง ผมไม่มีข้อวิจารณ์ใด ๆ แต่อยากเน้นว่า งานของอาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นงานประเภทเดียวกับข้าราชการประจำโดยทั่วไป ผู้นั้นก็เข้าใจความหมายของการศึกษาขั้นอุดมศึกษา และสถาบันมหาวิทยาลัยผิดอย่างยิ่ง

มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งของปัญญาและวิชาความรู้ ที่ทุกคนทั้งนักศึกษาและอาจารย์พึงมีเสรีภาพในการแสดงออกเพื่อสังคมในประเทศต่าง ๆ ที่มหาวิทยาลัยเขาก้าวหน้ามีมาตรฐานสูง ทั้งอาจารย์และนักศึกษาต่างมีกิจกรรมในทางการเมือง และกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างกว้างขวาง ในทางเมืองไทยเราแม้ว่ามหาวิทยาลัยจะถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการและถูกรัฐบาลและข้าราชการคอยควบคุมและบีบบังคับอยู่ตลอดเวลา แต่เนื้อแท้ของมหาวิทยาลัยก็คือ เสรีภาพและความเป็นผู้นำทางปัญญา วิชาความรู้ คนในมหาวิทยาลัยของเราจึงพยายามต่อต้านระบบราชการอยู่ตลอดมา เช่นที่ห้ามให้ข้าราชการไม่ให้เขียนหนังสือ ห้ามให้สัมภาษณ์หรือพูดถึงสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครมาบังคับใช้กับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยได้

ผู้ที่กล่าวว่า อาจารย์ในฐานะเป็นข้าราชการจะใช้อิทธิพลชักจูงลูกศิษย์ และประชาชนทั่วไปเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนนั้น อันนี้ถือว่าเป็นการแสดงทัศนะทางการเมืองของฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับประชาชน ที่ถือว่าประชาชนย่อมโง่เขลาเบาปัญญาจะถูกหลอกถูกต้มโดยง่ายเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถในการใช้ความคิด ถ้าเขาจะสนับสนุนหรือต่อต้านใคร ย่อมไม่ใช่เป็นเพราะคนนั้นเป็นนักการเมืองหรือมีตำแหน่งสูงอะไร เขาย่อมพิจารณาถึงหลักเกณฑ์อย่างจริงจังตามเหตุผล

ประชาชาติ: มีคนเป็นห่วงกันอีกเรื่องหนึ่งก็คือ อาจารย์จะมีเวลาสอนและทำการค้นคว้าเพียงพอหรือ เพราะมัวแต่ไปยุ่งการเมือง

บุญสนอง: อาจารย์แต่ละคนรวมทั้งผมที่ตัดสินใจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกิจกรรมการเมืองอื่น ๆ ก็คงได้ไตร่ตองดูอย่างรอบคอบแล้ว ว่าจะมีเวลาทำงานตามหน้าที่ของตัวมหาวิทยาลัยเพียงพอไหม แต่ส่วนมากการประชุมทางการเมืองพวกเราทำกันในเวลาตอนกลางคืนหรือ วันเสาร์-อาทิตย์ เพราะส่วนใหญ่เป็นคนทำมาหากิน แต่เมื่อใดก็ตามถ้าผมมาสามารถจะทำประโยชน์ในด้านใดด้านหนึ่ง หรือทั้งสองด้านได้เต็มหน้าที่ ผมก็ย่อมจะต้องได้พิจารณาตัวเองอย่างแน่นอน มิฉะนั้นเพื่อนร่วมงานของผมในแต่ละด้านก็คงจะปลดผมอย่างไม่มีปัญหา

ประชาชาติ: ถ้าอาจารย์ในมหาวิทยาลัยได้รับความสนับสนุนจากประชาชนเลือกไปเป็น ส.ส กันมาก จะไม่เกิดปัญหาเรื่องขาดอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในมหาวิทยาลัยหรือ

บุญสนอง: ถ้าประชาชนสนับสนุนจริงก็คงจะมีปัญหาแน่ แต่ผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือเป็นกรรมกรกวาดถนน ชาวนา จะต้องถือว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกัน ในต่างประเทศอาจารย์มหาวิทยาลัยมีบทบาทใกล้ชิดกับการเมืองอยู่ตลอดเวลา ในฐานะเป็นผู้นำทางปัญญาและวิชาความรู้ บางคนก็เข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนแม้ในขณะที่ยังเป็นอาจารย์อยู่ ที่ได้รับเลือกตั้งก็มี ที่ไม่ได้ก็มาก ประชาชนที่เลือกตั้งย่อมพิจารณาถึงจุดยืนและนโยบายของบุคคลแต่ละคน หรือพรรคแต่ละพรรคเป็นหลักสำคัญมากกว่าตัวบุคคล

ประชาชาติ: จะเป็นไปได้หรือไม่ที่อาจารย์มหาวิทยาลัยต้องการจะเปลี่ยนอาชีพหรือเปลี่ยนฐานะที่ดีกว่า

บุญสนอง: ผมเชื่อว่าถึงแม้ในขณะนี้จะมีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจำนวนมากเคลื่อนไหวในทางการการเมืองในพรรคต่าง ๆ อยู่ก็ตาม คงมิได้หมายความว่าอาจารย์ทุกคนหรือแม้แต่ส่วนใหญ่ด้วยซ้ำไป จะเข้าสมัครรับเลือกตั้งเพื่อแสวงหาอาชีพใหม่ ผมมีความรู้สึกว่าตามที่อาจารย์ทั้งหลายกระตือรือร้นทางการเมืองขณะนี้คงเป็นเพราะเห็นว่ามันเป็นความจำเป็น และตัวเองสามารถจะทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้ และไม่ใช่แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยเท่านั้น คนไทยทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในทางการเมือง เพื่อป้องกันมิให้เผด็จการรัฐประหารกลับเข้ามาครอบครองเมือง และสร้างสรรค์เศรษฐกิจและสังคมเราขึ้นใหม่ ให้มีความเป็นธรรมมีความเสมอภาคและสมรรถภาพ

คนที่มีทัศนะต่อต้านการเมืองหรือการมีส่วนร่วมทางการเมือง นับได้ว่าเป็นคนที่มีความคิดล้าหลังยิ่งกว่านั้น ผมต้องถือว่าการเมืองเป็นเรื่องของการเสียสละและการรับใช้ประชาชน การมีบทบาทในพรรคการเมืองเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ จึงไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่างจากคนที่ทำงานสังคมสงเคราะห์ ด้านอาสาพัฒนาชนบท หรือการแจกหยูกยาข้าวของคนยากจนเพราะเป็นการกระทำที่หวังจะก่อให้เกิดการประท้วงปัญหาของประชาชน ทำให้ประชาชนทุกข์ยากเดือดร้อนเข้าใจว่าจะมีผู้แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง จึงเป็นการรักษาโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม และก่อให้เกิดการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงใหม่อย่างแท้จริง

ผมมองไม่เห็นว่าการเมืองจะเป็นเครื่องมือของการสร้างอำนาจ หรือหาประโยชน์ให้แก่ตัวเองแต่อย่างไรทั้งสิ้น มันทั้งเหน็ดเหนื่อยต้องสละแรงงาน กำลัง สมอง เวลา แม้แต่เงินทองส่วนตัวเพื่อสร้างสรรค์ความสำนำในหมู่ประชาชน และสร้างองค์กรของพรรคเพื่อเป็นแกนในการต่อสู้

ที่มีผู้อ้างว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยควรเป็นกลางทางวิชาการนั้นพอจะรับฟังได้ แต่จะให้เป็นกลางทางการเมืองทั้ง ๆ ที่ประเทศชาติกำลังจะล่มจมนั้น เป็นการหลีกเลี่ยงทางความรับผิดชอบต่อประชาชนและสังคมโดยแท้ สิ่งที่ผมและคนที่อยู่ในแนวทางเดียวกับประชาชนอื่น ๆ จะได้รับก็มีอยู่อย่างเดียวคือความภาคภูมิใจที่ได้รับใช้ประชาชน และสังคมด้วยมุ่งมั่นในอุดมการณ์ และความหวังที่ว่า ปัญหาเลวร้ายต่าง ๆ ที่ประชาชนในสังคมของเราต้องเผชิญอยู่ ประชาชนก็สามารถจะร่วมกันขจัดให้หมดสิ้นไป ได้สักวันหนึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น