วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทความ: ผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการนักศึกษา

ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน
สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ปีที่ 10 ฉบับที่ 12 ตุลาคม 2517

นี่ก็มีข่าวออกมาอีกแล้วว่า ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ “ผู้ที่นิสิตนักศึกษาเคารพและเชื่อ” วางแผนและกระตุ้นให้นิสิตนักศึกษาเดินขบวนต่อต้านรัฐธรรมนูญ เพราะ ดร.ป๋วยไปแพ้เสียงข้างมากในสภามา ตามข่าวนี้นายกรัฐมนตรีถึงกับออกคำสั่งด่วนผ่านตำรวจเรียก ดร.ป๋วย เข้าพบเพื่อปรึกษาเรื่องนักศึกษาประชาชนเดินขบวนต่อต้านรัฐธรรมนูญของสภาพอๆ กับข่าว ดร.ป๋วย ก็มีการเขียนหรือพูดกันให้ได้ยินว่าจีนคอมมิวนิสต์แจกเงินนักศึกษาจ้างให้เดินขบวนนายธีรยุทธ บุญมีนั้นได้รับเงินจากทางจีนและญี่ปุ่น ขณะนี้สะสมกันไว้ได้ร่วมร้อยล้านบาทแล้ว สำหรับนายเสกสรรค์ ประเสริฐกุลได้แต่ทางจีน และอเมริกา ส่วนญี่ปุ่นยังมิได้มาติดต่อ (หรือไปติดต่อ) จำนวนเงินที่นายเสกสรรได้นั้นว่ากันว่า(กุขึ้นมา) พอ ๆ กับที่นายเทิดภูมิ ใจดี ได้ทีเดียว คือเดือนละสองแสนบาท ทางฝ่ายนายเทิดภูมินั้นนอกจากจะถูก กุว่าคอมมิวนิสต์จ่ายให้ไม่อั้นแล้ว นายเทิดภูมิยังรีดไถเอาจากค่าแรงงานของกรรมกรอีกตกเข้าไปก็ร่วมเดือนละอีกสองแสน พูดง่าย ๆ นายเทิดภูมินั้นก็คือนายทุนขูดรีด ดี ๆ นี่เองเพราะคอมมิวนิสต์ทำให้เป็นแต่นายบุญสนอง บุณโยทยานเองก็เป็นปรากฏมีผู้คุ้นเคยชอบพอกันผู้หนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญถึงขนาดเป็นที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ไปได้ยินผู้หญิงมากอายุคนหนึ่งพูดขึ้นในที่ประชุมพรรคนั้นว่านายบุญสนองมิใช่คนไทยดอก หากมีมารดาเป็น “ญวน” หล่อนอ้างว่าหล่อนรู้ดีเพราะหล่อนเป็นครูบาอาจารย์ นายบุญสนองมาก่อน (ความจริงไม่เคยรู้จักกัน) เป็นอันว่าการรุกข่าวรายนี้ทำให้นายบุญสนองกลายเป็นคนมีเชื้อชาติร่วมกับนายบุญส่ง ชเลธร นายธีรยุทธ บุญมี นายไขแสง สุกใส และนายอื่น ๆ อีกหลายสิบนายที่ชาตินิยมไทยแท้บางคนไม่ยอมให้ร่วมชาติด้วย โดยอ้างว่าเป็น “ญวน"

ทฤษฏีทางสังคมจิตวิทยา อธิบายว่า ในสถานการณ์ ที่สังคมกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มนุษย์ในสังคมมักตกอยู่ในภาวะทางการเป็นอยู่และทางจิตใจระส่ำระสาย ในภาวะเช่นนี้ คนทั่วไปซึ่งปกติมิได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด หรือมิได้สนใจศึกษาเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นพิเศษ มักจะไม่สามารถยึดถือหรือเชื่อถือสิ่งใดได้ด้วยความมั่นใจ ทั้งนี้เพราะเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในสังคมมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสับสน และมีแง่มุมต่าง ๆ ที่ตนไม่สามารถเข้าใจหรืออธิบายได้ ในสภาวะของการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมาก และอย่างฉับพลัน คนโดยทั่วไปจึงมักกลายเป็นคนหูเบา เชื่อหรือยอมรับเอาสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ยินได้ฟังหรือได้อ่านอย่างง่ายดาย ปราศจากการพินิจพิเคราะห์หรือไต่สวนหลักฐานหรือมูลเหตุอย่างจริงจัง ทั้งนี้เพราะการสืบสวนหรือพิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้น หรือได้รับทราบมานั้นมักทำได้ยากและผู้ที่จะให้คำตอบได้แน่นอนก็มักจะไม่มี ถึงมีก็มักจะตอบหรืออธิบายไปในทิศทางที่แตกต่างกันบุคคลแต่ละคนจึงจำยอมหรือสรุปเอาด้วยตนเอง ในวิธีที่ตัวเองคิดหรือรู้สึกเอาว่าน่าจะ ถูกต้องและมักจะมีความโน้มเอียง มีอคติไปในทางที่ตนเคยคิดหรือเคยเชื่อถือมาแต่ก่อน

ในสถานการณ์ ของความไม่ทราบแน่ และไม่มีวิธีใด ๆ ที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น ปรากฏการณ์อีกอย่างหนึ่งมักเกิดขึ้นเสมอ คือปรากฏการณ์ของการแพร่สะพัดข่าวลือหรือข่าวโคมลอยซึ่งหมายถึงการบอกเล่า ให้ผู้อื่นฟังถึงสิ่งที่ผู้พูดเองก็ไม่รู้ความจริง การแพร่สะพัดข่าวลือหรือข่าวโคมลอยซึ่งหมายถึงการบอกเล่า ให้ผู้อื่นฟังถึงสิ่งที่ผู้พูดเองก็ไม่รู้ความจริง การะแพร่สะพัดออกไป คนที่ได้รับฟังอื่น ๆ ก็อาจยึดถือเอาเป็นเรื่องจริง ยิ่งมีผู้พูดอย่างเดียวกันหรือทำนองอย่างเดียวกันมากเท่าใดความน่าเชื่อถือของคำพูดนั้นก็ดูจะเพิ่มมากขึ้น ยิ่งประชาชนทั่วไปไม่สามารถยึดเหนี่ยวอะไรเป็นหลักอยู่แล้วข่าวลือก็ยิ่งเพิ่มคำความเป็นข่าวจริงขึ้นไป

ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมาในเมืองไทยเรามีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมาก และบ่อยครั้งก็เป็นอย่างรวดเร็วเกินความคาดหมายตามปรกติธรรมดาของประชาชนทั่วไปแม้แต่การเปลี่ยนแปลงเมื่อ 14-15 ตุลา นั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ไทยที่กล่าวกันว่า 14 ตุลา เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อหรือไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้นั้นย่อมแสดงให้เห็นถึงลักษณะฉับพลันและความผิดธรรมดาในตัวของมันเอง ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในสังคมได้แสดงออกมาในรูป ลักษณะต่างๆ เช่นการก่อตั้งของกลุ่มประชาชน นักศึกษานักเรียนร่วมสามสิบกลุ่มในกรุงเทพฯ และอีกนับสิบ ๆ กลุ่มในต่างจังหวัด การรวมตัวของกรรมกรในโรงงานอุตสาหกรรม และในองค์กรธุรกิจและบริการอื่น ๆ ที่สำคัญ และใหม่อย่างยิ่งก็คือการก่อตั้งขบวนการชาวนาข้ามเขตจังหวัด ชาวนาหลายพันคนจากจังหวัดต่าง ๆ สามารถนัดเดินทางไปชุมนุมกันได้พร้อมเพรียงที่สนามหลวง ทั้งยังผนึกกำลังกันได้ 7,000 คน และมอบให้ตัวแทน นำบัตรประชาชนไปเสนอคืนรัฐบาลชุมนุมเดินขบวน หรือประท้วงคัดค้านสถานภาพเดิมในกรณีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นนับรวมกันเข้าแล้วได้ร่วม 600 ครั้ง และการประท้วงเรียกร้องหรือต่อต้านสิ่งต่าง ๆ แต่ก็มีหลายกรณีที่การเปิดโปงต่อต้านของเก่า บางอย่างมิได้บังเกิดผลอันใด และไม่มีทีท่าว่าจะบังเกิดผลเพราะถ้าบังเกิดผลก็ย่อมหมายถึงความพังทลายของผลประโยชน์มหาศาลของผู้ที่ในปัจจุบันนี้ยังมีอำนาจเด็ดขาดอยู่ในสังคมไทย แต่ทว่าความล้มเหลวของการประท้วงต่อต้านในกรณีดังกล่าวนั่นเอง (เช่นในกรณีของชาวนาไร้ที่ดิน) ก็อาจเป็นชนวนให้มีการผลักดันการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังฉับพลันและอาจจะรุนแรงต่อไปได้

นอกจากข่าวลือที่เกิดขึ้น เพราะการแพร่สะพัดความเห็นหรือความรู้สึกนึกคิดของประชาชน ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้ว ทฤษฏีสังคมวิทยาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมร่วม และความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนหรือระหว่างชนชั้น ยังให้อรรถาธิบายไว้ด้วยว่าในสถานการณ์ของการต่อสู้ดิ้นรนระหว่างผู้กุมผลประโยชน์ผูกขาดกับผู้มุ่งมั่นผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนั้น ข่าวลือเกิดขึ้นได้จากอีกสาเหตุหนึ่ง คือการสร้างข่าวลือเพื่อผลในทางการเมือง ในเมืองไทยการสร้างข่าวหรือกุข่าวเป็นสิ่งที่มีอยู่เสมอ และในช่วงการเปลี่ยนแปลงนี้การปล่อยข่าวลือ เพื่อต้านทานการเปลี่ยนแปลงย่อมมีการขึ้นตามความจำเป็น และเนื้อหาของข่าวที่กุขึ้นรวมทั้งวิธีการกระจายข่าวลือก็มีความแยบยลลึกซึ้งยิ่งขึ้น นับแต่ 14 ตุลา 16 เป็นต้น มาผู้เขียนได้รับฟังข่าวลือนานัปการทั้งที่เกี่ยวกับบุคคลบางคน กลุ่มคนบางคนและที่เป็นเรื่องของสถานการณ์บ้านเมืองทั้งภายในภายนอก ถ้าประมวลดูก็คงได้หลายสิบเรื่อง ที่กล่าวได้ว่าเป็นข่าวลือก็เพราะผู้เขียนสามารถตรวจสอบหลักฐานได้แน่นอนว่า เรื่องที่ได้ยินมานั้นปราศจากมูลความจริง ข่าวลือทั้งหลายนั้นบางครั้งก็ไม่อาจทราบได้ว่ามีต้นตอมาจากไหน แต่ก็พออนุมานได้ว่าหลายเรื่องคงเกิดขึ้นจากการแพร่สะพัดกันต่อ ๆ ไป จากความเห็นหรือจินตนาการของผู้ไม่รู้แต่เป็นชอบสงสัย (โดยเฉพาะในทางที่ไม่ดี) ส่วนบางเรื่องผู้เขียนมีหลักฐานยืนยันได้ว่า เป็นข่าวลือที่เกิดขึ้นจากการวางแผนกุข่าว หรือปล่อยข่าวเพื่อผลในทางทำลายชื่อเสียงของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล หรือเพื่อหักล้างทำลายพลังของการเปลี่ยนแปลงในสังคมอย่างแน่แท้เพราะข่าวลือในลักษณะหลังนี้บางทีก็ปรากฏออกมาทางหน้าหนังสือพิมพ์บางฉบับ หรือกระจายออกมาในรูปของบัตรสนเท่ห์จดหมาย หรือแถลงการณ์ที่ลงนามแอบอ้างหรือแอบแฝง มิฉะนั้นก็ไม่ลงนาม เมื่อเป็นเช่นนี้ประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตย และรักสัจจะซึ่งอาจมิได้อยู่ใกล้ชิดหรือไม่มีการศึกษา ติดตามเหตุการณ์ต่าง ๆ เพียงพอ จะมีวิธีใดที่จะตัดสินว่าข่าวหรือข่าวลืออันไหนเป็นความจริง

วิธีตรวจสอบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข่าวลือนั้น ถ้าไม่พิสูจน์ได้ด้วยหลักฐานชัดเจน หรือรู้เห็นได้ด้วยโสตประสาท จักษุประสาท และประสาทอื่น ๆ ของตนเองก็น่าจะทำได้อีกสองวิธีคือ 1)นอกจากการใช้ความพินิจอย่างมีเหตุผลแล้วในการที่ผู้นั้นจะสรุปได้ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงย่อมมีมาก 2)นอกจากการใช้ความพินิจพิเคราะห์ตามหลักของเหตุและผลแล้ว ผู้ที่สนใจหาความเข้าใจต่อพฤติกรรมของบุคคลหรือกลุ่มคนหรือสถานการณ์อันใดอันหนึ่ง น่าจะได้รับความกระจ่างขึ้นมากถ้าผู้นั้นเพียงแต่จะกำหนดลงไป ให้แน่นอนในใจของตน อย่างที่เรียกกันว่าสร้าง “จุดยืน” ที่ชัดเจนว่าสิ่งไหนหรือพฤติกรรมอันไหนเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ใครหรือกลุ่มคนใด เช่นเป็นประโยชน์ต่อชาติ ต่อประชาธิปไตย ต่อประชาชนส่วนใหญ่ ผู้ถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบ หรือว่าเป็นประโยชน์แกผู้ขัดขวางความก้าวหน้าของชาติขัดขวางสร้างสรรค์ประชาธิปไตย และกลับเป็นผลดีแก่คนเพียงจำนวนน้อย ผู้ต่อการต้านขัดขวางการเปลี่ยนแปลงของสังคม ? เมื่อคนไทยแต่ละคนสามารถกำหนดลงไปได้แน่นอน ในแนวความคิดของตนดังนี้แล้ว การศึกษาจะพิจารณาข่าวลือข่าวลือทั้งหลายก็น่าจะทำได้ง่ายขึ้นมาก ว่าทำไมข่าวลือบางอย่างจึงมีขั้นได้และถ้าคนแต่ละคนยอมรับข่าวลือนั้น ๆ แล้ว มันจะก่อให้เกิดผลอย่างไรต่อคนไทย และชาติไทยโดยส่วนรวมในระยะยาวบ้าง คือจะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเพื่อแก้ปัญหาสำคัญพื้นฐานต่าง ๆ ของประชาชนเกิดได้หรือไม่ หรือกลับจะเป็นการช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเพื่อแก้ปัญหาสำคัญพื้นฐานต่าง ๆ ของประชาชนเกิดได้หรือไม่ หรือกลับจะเป็นการช่วยร่วมมือ (โดยไม่ตั้งใจ) กับผู้ต่อต้านขัดขวางการเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเป็นผลดีแก่ประชาชน

วิธีแรกนั้น ถ้าจะว่าไปก็คงไม่ต่างอะไรกับการใช้สามัญสำนึกโดยปรกติธรรมดานี้เอง เช่นถ้าเราตั้งคำถามว่าข่าวลือที่ได้ยินมานั้น “เหลือเชื่อไหม” เราก็อาจจะตอบตัวเองได้ง่ายว่าเหลือเชื่อหรือไม่เหลือเชื่อ เช่นข่าวลือที่ว่าจับคอมมิวนิสต์ จ้างนักศึกษาเดินขบวนหรือญี่ปุ่นจ้างนักศึกษาไม่ให้ต่อต้านญี่ปุ่น เป็นต้น ถ้าเราตั้งคำคามว่าจีนคอมมิวนิสต์และญี่ปุ่นจะทำได้หรือเพราะนักศึกษามีจำนวนนับหมื่นนับแสน แม้แต่จำนวนนักศึกษาเอกก็มีจำนวนนับร้อยพัน แล้วก็หูตาของรัฐบาลไทยก็มีอีกมากมายที่น่าจะสอดส่องอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงไฉนทางฝ่ายนักศึกษาและรัฐบาลจึงไม่สามารถตีแผ่หลักฐานให้ใครเห็นหรือถ้าจะมีการเถียงตัวเองต่อไปว่า “เขาจ้างมา” คนหูเบาบางคนคิดหรือเชื่อเลยไปถึงว่า “เขาจ้างทั้งนักศึกษาและเจ้าหน้าที่จำนวนมาก” ถ้าเช่นนั้นฝ่ายประชาชนอีกร่วมสี่สิบล้านคนล่ะ หรือเขาจ้างไว้ทั้งหมดแล้วเพื่อไปปกปิดข้อเท็จจริง จึงไม่มีผู้ใดยอมเปิดเผยหลักฐานอันใดให้ใครทราบ ในทำนองเดียวกัน เมื่อมีข่าวลือว่า ผู้นำกรรมกรบางคนขูดรีดเงินกรรมกรด้วยกันไปตั้งเดือนละสองแสนบาท ถ้าผู้ได้ทราบข่าวลือนี้ถามตัวเองว่า “แล้วกรรมกรเอาเงินมาจากไหนให้รีดไถได้ตั้งมากมาย” และ “ทำไมกรรมกรยอมให้รีดไถ” การปุจฉาวิปัสสนาดังนี้บางทีก็ดูตื้น ๆ แต่สำหรับประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ประสบกับความระส่ำระสายของภาวะบ้านเมืองและทางจิตใจอยู่ทุกวันนี้ บางทีก็อาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างกระมัง

ส่วนวิธีที่สองนั้น ผู้ชอบสงสัยหรือชอบมองในแง่ที่ไม่ดีไว้ก่อนบางคนอาจมีปัญหาบ้าง วิธีนี้คนแต่ละคนจำเป็นต้องตั้งอุเบกขาพอสมควร บางครั้งอาจถึงกับละทิ้งประเด็นที่ว่าใครอยู่เบื้องหลังหรือเป็นผู้ชักจูงให้บางคน หรือบางกลุ่มกระทำการใด ๆ เลยทีเดียวก็เป็นได้หลักสำคัญของข้อนี้ คือ การตรวจสอบที่ “ผล” ของการการะทำอันใดอันหนึ่งว่าถ้ามันสำเร็จหรือเป็นการตามที่คน ๆ นั้นหรือกลุ่มนั้นพยายามทำให้สำเร็จแล้ว ประโยชน์ที่แท้จริงจะตกไปอยู่ที่ใคร ขอยกตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่องที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีวุฒิสภาโดยการแต่งตั้งในประเทศไทย และส่งอาสาสมัครไทยไปรบต่างประเทศโดยไม่ต้องให้ประชาชนรับรู้หรือสภาอนุมัติ ถ้าการต่อสู้คัดค้านประเด็นดังกล่าวนี้บรรลุความสำเร็จ ผลประโยชน์ขั้นสุดท้ายจักเกิดแก่ประชาธิปไตย ประเทศชาติ และประชาชนทั้งมวลใช่หรือไม่ ถ้าใช่ คนแต่ละคนสมควรไหมที่จะเสียเวลาไปวิพากษ์วิจารณ์ ว่าผู้ที่พยายามด้วยวิธีต่าง ๆ ให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะเช่นนั้นจะเป็นใคร และทำเพื่ออะไรในทางกลับกันผู้ชอบสงสัยในข่าวลือต่าง ๆ ก็อาจจะต้องสงสัยได้เช่นกันว่า ถ้ามีรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะไม่เป็นประชาธิปไตยดังกล่าวข้างต้นแล้วความ “ไม่เป็นประชาธิปไตย” จะก่อประโยชน์ให้แก่ใคร ให้แก่ผู้สงสัยเองและประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่ หรือประโยชน์ที่แท้จริงนั้นจะตกไปอยู่เสียที่คนส่วนน้อย ซึ่งมิได้รวมถึงผู้ชอบสงสัยเองเสียด้วยซ้ำไป เมื่อคนแต่ละคนมีจุดยืนอยู่ข้างคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้เสียเปรียบในสังคม อย่างจริงจังแล้วก็ไม่น่าจะเหลือวิสัยที่จะเข้าใจว่าข่าวลืออันไหนเป็นข่าวจริง และข่าวลืออันไหนเป็นเพียงข่าวที่มีผู้สร้างขึ้นเพื่อต่อต้านประชาชน

เมื่อขบวนการของนิสิต นักศึกษา นักเรียน กรรมกรและชาวนาสำแดงออกซึ่งพลังในการคัดค้านต่อต้านประเด็นต่าง ๆ แต่ละครั้งมักมีข่าวลืออยู่เสมอว่ามีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังซึ่งเป็นมือที่สามบ้าง เป็นนักการเมืองที่หวังประโยชน์ส่วนตนบ้างหรือเป็นผู้อยากดัง อยากหาชื่อเสียงให้กับตนเองบ้าง และที่สำคัญคือเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ไม่ว่าข่าวลือดังกล่าวนั้นจะมาในกระแสไหน เราพอจะวิเคราะห์ได้ว่าทั้งผู้ที่เผยแพร่ข่าวลือและผู้ยอมรับเอาข่าวลือนั้นมีสมบัติร่วมกันอยู่บางประการอันได้แก่

1.เป็นผู้ไม่สามารถคิดและเชื่อว่าประชาชนวงการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตกอยู่ในภาวะของความบีบคั้นกดขี่ (รวมทั้งอาจต่ำต้อย ยากจน และด้อยการศึกษาในระบบโรงเรียน) จะพัฒนาความสำนึกและรวมพลังกันได้ถ้าไม่มี คนมีปัญญาไปจูงจมูกเขาเหมือนวัวควาย สมบัติประจำตัวอันนี้คือสมบัติของผู้ดูถูกประชาชน

2.เป็นผู้ที่ฝังแน่นอยู่ในระบบศักดินาสวามิภักดิ์ เป็นซากเดน ของความคิดที่ว่าพฤติกรรมทุกอย่างของมนุษย์ที่เป็นบุคคลแต่ละคนก็ดี หรือขบวนการของประชาชนก็ดีจะต้องเป็นพฤติกรรม ที่มีคนสั่งให้ทำเสมอ เพราะมนุษย์ในระบบศักดินาย่อมมีนายคอยบังคับบัญชาบงการให้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง แนวความคิดในระบบศักดินา เป็นแนวความคิดที่เน้นด้านบารมี และอำนาจเหมือนมนุษย์ของบุคคลที่อาจชักจูงให้ปุถุชนหรือชนชั้น “ผู้น้อย” เดินไปทางไหนก็ได้โดยไม่ต้องใช้สมองและปัญญาของตน ซากเดนของความคิดแบบนี้ทำให้คนบางคนเชื่อได้สนิทแน่นว่าบุคคลเพียงคนเดียว สองคนสามารถชักจูงคนนับหมื่นนับแสนให้ทำอะไรเมื่อใดก็ได้

3.เป็นผู้ที่ไม่มีความเข้าใจและประสบการณ์ ทำให้ยอมรับได้ว่า ประชาชนวงการต่าง ๆ พึงมีเหตุผลและความจำเป็นอันใดต้องประท้วงเรียกร้องและต่อสู้เพื่อสถานการณ์ที่ดีกว่าที่เขาเป็นอยู่หรือมีอยู่แล้ว เมื่อประชาชนถูกกดขี่สำแดงออกมาแต่ละคราว เขาก็สรุปเอาอย่างง่ายดายทุครั้งว่าเป็นเพราะ “ผู้อื่น” มีเหตุผลที่จะผลักดันหรือ “ก่อความวุ่นวาย”

ตามความเป็นจริงนั้น เมื่อประชาชนรวมตัวกันเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง ประชาชนได้แสดงความเห็นถึงความเข้าใจ ความไม่พอใจและความสามารถพร้อมเพรียงกันในการยืนหยัดต่อสู้อย่างมีระบบมีวินัยเป็นส่วนใหญ่ เช่น เมื่อต้นเดือน กรกฎาคม 2517 คราวที่กรรมกรทอผ้าหลายหมื่นคนนัดไปประชุมเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มที่สนามหลวง โดยนั่งประชุมเรียกร้องอยู่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน แม้ว่านิสิตนักศึกษาจะถูกกล่าวหามากมายว่าเป็นผู้ไปยุยงส่งเสริมและชักนำกรรมกร แต่ผู้สังเกตการณ์ที่มีความเที่ยงธรรมย่อมจะเห็นได้ว่านิสิตนักศึกษารวมทั้งนักเรียนและประชาชนกลุ่มต่าง ๆ เช่น สหภาพเพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน และ ปช.ปช. เป็นต้น มีบทบาทอย่างมากก็เพียงผู้ให้กำลังใจและคอยบริการรับใช้กรรมกร คือคอยแจกข้าวห่อหรือจัดโต๊ะเก้าอี้ให้แค่นั้น การทำงานสำคัญเช่น ตั้งข้อเรียกร้องและต่อรองกับนายจ้างและรัฐบาล เป็นสิ่งที่กรรมกรและผู้นำกรรมกร (ซึ่งมีจำนวนหลายสิบคน) เป็นผู้กระทำทั้งสิ้น และตัดสินใจซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่จะเรียกร้องหรือไม่ จะหยุดงานไหมจะไปชุมนุมที่สนามหลวงไหมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ถ้าใครคิดว่านายธีรยุทธ หรือนายป๋วย หรือนายเสกสรร หรือสิบนายธีรยุทธ หรือสิบนายป๋วย สิบนายเสกสรร จะไปชักจูงโน้มน้าวให้กรรมกรตัดสิน ตรงกันข้ามกับที่เขาต้องการทำและต้องการทำอยู่แล้ว ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเพ้อฝันมัวเมาอยู่กับสิทธิ “จิตนิยม” หรือลัทธิคิดเอาเองอย่างแน่นอน

ลัทธิจิตนิยมคิดเอาเองตามสะดวก หรือสรุปเอาตามความรู้สึกและความเคยชินนั้นมีมากในหมู่ขุนนางข้าราชการและนายทุนศักดินา อย่างเช่น เมื่อนักเรียนนักศึกษาประชาชนหลายหมื่นคนประชุมต่อต้านรัฐธรรมนูญที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยระหว่างวันที่ 19-21 กันยายน 2517 นั้น ปรากฏมีรายงานลับเสนอไปยัง กอ.ปค. (..รมน.) กล่าวอ้างว่ามีอาจารย์มหาวิทยาลัยไปนั่ง “บงการ” อยู่ที่ร้านกาแฟในโรงแรมข้างอนุสาวรีย์แห่งนั้น ข่าวนี้เป็นข่าวลับ แต่เมื่อผู้ใดบังเอิญได้ยินได้ฟังเข้า ถ้าผู้นั้นมีใจเป็นธรรมและความสามารถพอประมาณที่จะใช้เหตุใช้ผลก็น่าจะสงสัยได้ว่าถ้ามีอาจารย์มหาวิทยาลัยไปนั่งอยู่ในร้านกาแฟซึ่งแน่ชัดไปด้วยแขกเหรื่ออย่างนั้นไฉนผู้รายงานดังนี้จึงจะสรุปเอาได้ง่าย ๆ ว่าอาจารย์เหล่านั้นไป “บงการ” ใครอยู่ และที่สำคัญยิ่งก็คือประชาชนหลายหมื่นคนที่ที่อนุสาวรีย์นั้นเป็นสัตว์เลี้ยงประเภทไหน จึงยอมให้ใครบงการเขาเอาได้ เหตุไฉนผู้รายงานจึงไม่มีความสามารถประเมินดูเอาเองว่าทั้งคนพูด คนฟัง คนร่วมชุมนุมที่ตบมือโห่ร้องประเด็นต่าง ๆ ของรัฐธรรมนูญนั้น เขามีเหตุผลและความคับแค้นใจอันใดบ้างหรือไม่ และสิ่งที่เขาเรียกร้องต่อต้านนั้นมันเหลือวิสัยของมนุษย์ผู้มีมันสมอง (แม้แต่ขนาดทื่อๆ) จะเข้าใจหรือตัดสินใจได้เองกระนั้นหรือ

การสรุปลงความเห็นว่าผู้นั้นผู้นี้ “อยู่เบื้องหลัง” ขบวนการของนักศึกษาและประชาชน ถ้าผู้สรุปและรายงานมีหน้าที่ราชการกินเงินเดือนที่เป็นภาษีอากรของราษฎรอยู่ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นการเขียนรายงานเท็จ มีพฤติกรรมคดโกงในการปฏิบัติงานผลของการทำงานลึกลับเช่นนี้ ได้ก่อให้เกิดปัญหาแก่ประชาชน และชาติบ้านเมืองมามากและนานเต็มทีแล้ว ผู้คนธรรมดาถูกจับกุมคุมขังด้วยข้อหาและข้อสงสัยต่าง ๆ นับไม่ถ้วนเป็นที่เอือมระอาและคุมแค้นของคนทั่วไป

ถ้าผู้พูดหรือผู้เขียนเป็นคนนอกระบบราชการ ก็จะต้องถือได้ว่าเป็นคนหูเบาเป็นบ่าวช่างยุ หรือมิฉะนั้นก็เป็นผู้มีเจตนาก่อกวนความสงบและต่อต้านขัดขวางการเปลี่ยนแปลงโดยสันติวิธี ทำตัวเป็นเครื่องมือ หรือผู้รับใช้ของผู้มีผลประโยชน์ในทางอำนาจปัจจุบันนี้ประชาชนไทยจำนวนมหาศาลที่ตื่นตัวตื่นใจต่อความเลวร้าย และกลอุบายต่างๆ ที่ผู้ใช้ข่มขู่หรือบังคับประชาชนมาเป็นเวลานานแล้ว จึงควรจะหมดสมัยเสียทีที่จะพากันหลงเชื่ออยู่อีกต่อไปว่าการเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชนนั้นมันเกิดขึ้นเฉพาะฝีมือของบุคคลเพียงบางคนหรือเป็นเพราะผู้นำประชาชนบงการต่างๆ ที่ประชาชนมีอยู่ต่างหากถ้าผู้ใดหรือรัฐบาลใดต้องการตอบสนองต่อขบวนการนักศึกษา และประชาชนผู้นั้น หรือรัฐบาลนั้นจำต้องการตอบสนองต่อขบวนการนักศึกษา และประชาชนผู้นั้น หรือรัฐบาลนั้นจึงจำต้องตอบสนองต่อปัญหาของประชาชนมิใช่ต่อบุคคลใดหรือกลุ่มใด มิฉะนั้นนอกจากจะมิใช่ทางแก้ปัญหาอันใดแล้วยังจักเป็นชนวนขยายขอบเขตของปัญหาทั้งหลายแหล่ต่อไปไม่มีสิ้นสุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น