ธีระเวทย์
ประมวญรัฐ ถอดความจาก Social Mobility and Economic Development ของ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน ที่ตีพิมพ์ก่อนจบปริญญาเอก ใน Sociological Bulletin, March 1967) เผยแพร่เป็นภาษาไทยใน Thai Journal of Development administration (ปีที่ 7 ฉบับที่ 3),
NIDA. 2510
นอกจากญี่ปุ่น
ประเทศเอเซียอีกประเทศหนึ่งซึ่งดูจะประสบผลอย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจได้แก่จีนคอมมิวนิสต์ ข้อสังเกตนี้นับว่าถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าเรากล่าวถึงวลี “การพัฒนาเศรษฐกิจ” ว่าหมายถึงการะบวนการที่เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจซึ่งไม่มีลักษณะเป็นระบบอุตสาหกรรมไปเป็นระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
ปัจจุบันนี้ในเมื่อญี่ปุ่นได้ดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจ (กล่าวคือ
อุตสาหกรรม) ลุล่วงไปแล้ว
จีนคอมมิวนิสต์ยังจัดว่ากำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการตามกระบวนการนี้อยู่อย่างมาก
แม้จะถือได้ว่าทั้งญี่ปุ่นและจีนคอมมิวนิสต์ต่างก็ตั้งเป้าหมายขั้นสุดท้ายของตนไว้ที่การเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจของตนให้เป็นระบบอุตสาหกรรม
ก็เป็นที่เห็นได้ชัดเจนว่าวิถีทางที่ทั้งสองประเทศเลือกเพื่อก้าวไปสู่การเป็นประเทศอุสาหกรรม
(และพัฒนาเศรษฐกิจ) นั้นมีความแตกต่างกันอยู่มากผลของความแตกต่างในวิถีทางพัฒนาอุตสาหกรรมของทั้งสองประเทศนี้ทำให้ผลลัพธ์ทางสังคมวิทยาของทั้งสองประเทศแตกต่างกันในขั้นมูลฐาน
ญี่ปุ่นเป็นสังคมทุนนิยมสมัยใหม่อุปมาได้กับประเทศอุตสาหกรรมทางโลกตะวันตก
ญี่ปุ่นแตกต่างจากจีนคอมมิวนิสต์ในด้านประเภทขององค์การทางสังคมและเศรษฐกิจ
ความแตกต่างดังกล่าวนี้เป็นความแตกต่างในด้าน “ชนิด” (kind) และไม่ใช่แต่เพียงแตกต่างกันใน
“ระดับ” (degree) ของการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น
การที่ญี่ปุ่นและจีนคอมมิวนิสต์มีวิธีดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจตามครรลองที่ต่างกันและในที่สุดทั้งสองประเทศได้ผลิตสังคมที่มีลักษณะแตกต่างกันนั้นนับได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมวิทยาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาเองโดยบังเอิญ
หากแต่เป็นที่แน่นอนว่ามีสภาวการณ์ทางสังคมวิทยาที่สำคัญหลายประการส่งเสริมให้เกิดมีความแตกต่างเช่นนี้ขึ้น
ในบรรดาปัจจัยหลายประการที่ช่วยกำหนดให้มีความแตกต่างระหว่างสภาวการณ์ของสังคมญี่ปุ่นกับสังคมจีนอันเป็นผลทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจในทั้งสองประเทศมีลักษณะแตกต่างกันนั้น
มีรวมถึงความแตกต่างดั้งเดิมของ ประเภท ของการเคลื่อนไหวทางสังคม (types of social
mobility) ในประเทศทั้งสองนี้ด้วย
มีการค้นพบว่า
การเคลื่อนไหวทางสังคมมีบทบาทสำคัญอย่างมหาศาลต่อกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจในสังคมที่ด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนา
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นที่ทราบกันด้วยว่าทั้ง ๆ
ที่การเคลื่อนไหวทางสังคมบางแบบเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นให้การพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็ว
แต่การเคลื่อนไหวทางสังคมอีกบางแบบกลับเป็นขวากหนามต่อการพัฒนาอย่างมาก
ในบทความนี้เราจะพิจารณาถึงแบบหรือประเภทของการเคลื่อนไหวทางสังคมขั้นมูลฐานสองประเภท
คือ การเคลื่อนไหวของเอกชน (individual mobility) ประเภทหนึ่งกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม
(group mobility) อีกประเภทหนึ่ง
และเราจะพยายามชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวทางสังคมสองประเภทนี้ที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสองประเภทซึ่งได้แก่
(ก) ประเภทที่นำไปสู่หรือเกิดขึ้นพร้อม
ๆ กันกับทุนนิยมสมัยใหม่ และ (ข) ประเภทที่เกิดขึ้นโดยเอกเทศจากวิถีของทุนนิยมสมัยใหม่
เพื่อเป็นหลักฐานประกอบคำอธิบาย ผู้เขียนจะเสนอบทบาทของ การเคลื่อนไหวของเอกชน ที่มีต่อการพัฒนาในสังคมจีนและบทบาทของ
การเคลื่อนไหวของกลุ่ม ที่มีต่อการพัฒนาในสังคมญี่ปุ่น
การแสดงหลักฐานดังกล่าวนี้จะกระทำโดยใช้งานของศาสตราจารย์แมนเจค็อปส์ (Norman
Jacobs) เป็นบันทัดฐาน ในตอนสุดท้ายโดยนัยและขอบข่ายของทฤษฏีนี้
ผู้เขียนจะเสนอกรณีของการเคลื่อนไหวทางสังคมของไทย
เพื่อเป็นพะยานหลักฐานเพิ่มเติมประกอบคำอธิบายของผู้เขียนในด้านความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวทางสังคมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
แนวความคิดในเรื่องการเคลื่อนไหวทางสังคมนั้น
มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการแปรรูปหรือการเปลี่ยนแปลงของสังคม
นักสังคมวิทยามักจะทราบกันดีว่าไม่มีสังคมใดจะคงสภาพนี่งอยู่กับที่
แต่กระนั้นพวกเขาก็หาพอใจในความรู้แต่เพียงเล็กน้อยแค่นั้นไม่
ถ้าตรวจสอบผลงานการศึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมดูเพียงผิวเผินก็จะพบได้โดยไม่ยากนักว่าความสนใจในด้านนี้มีอยู่อย่างกว้างขวาง
เช่น จะเห็นได้ว่ามีการศึกษาถึงประเภทของการเปลี่ยนแปลง ทิศทางของการเปลี่ยนแปลง
แหล่งหรือต้นตอของการเปลี่ยนแปลง และอื่น ๆ เป็นต้น
ในการที่เราพยายามจะทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวทางสังคมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
เป็นการสมควรถ้าเราจะเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจความหมายของแนวคิด (concepts) ที่สำคัญ ๆ ซึ่งจะนำมาใช้กันเสียก่อน
ดังได้กล่าวแล้ว
เราสนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจเนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจเกิดขึ้นในสองลักษณะหรือสองแบบ
ซึ่งมีความแตกต่างกันในระดับมูลฐาน กล่าวคือ
แบบหนึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่นำไปสู่การก่อรูปของทุนนิยมสมัยใหม่ (modern capitalism) หรือมิฉะนั้นก็เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการก่อรูปของทุนนิยมสมัยใหม่
ส่วนอีกแบบหนึ่งคือการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ได้ก่อให้เกิดขึ้นหรือติดตามการก่อรูปของทุนนิยมสมัยใหม่
พิจารณาในมุมกว้างเมื่อมีการพัฒนาเศรษฐกิจแบบใดแบบหนึ่งในสองแบบนี้
การพัฒนาเศรษฐกิจก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมขึ้น อย่างไรก็ดี
ในทำนองเดียวกันกับปรากฏการณ์ของการพัฒนาเศรษฐกิจ (ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม) การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ซึ่งเกิดขึ้นทั้งในขณะเดียวกันกับหรือติดตามการพัฒนาการพัฒนาเศรษฐกิจก็มีลักษณะหรือแบบที่แตกต่างกันอย่างสำคัญอยู่สองแบบเช่นเดียวกัน
เราอาจเรียกการเปลี่ยนแปลงทางสังคมแบบแรกว่า “การเปลี่ยนแปลงในคุณภาพ) (qualitative change) และเรียกแบบที่สองว่า
“การเปลี่ยนแปลงทางปริมาณ” (quantitative change) แบบแรกอธิบายได้ง่าย
ๆ ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงใน “ชนิด” (kind) ส่วนแบบหลัง
อาจกล่าวสั้น ๆ ได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงใน “ระดับ” (degree)
การเปลี่ยนแปลงแบบ
“คุณภาพ” หรือเปลี่ยนในด้านชนิดอธิบายได้ว่าหมายถึงการโยกย้ายหรือสับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมจากชนิดหรือประเภทหนึ่งไปเป็นอีกประเภทหนึ่งตามความหมายนี้เราจะกล่าวได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงแบบ
“คุณภาพ”
ขึ้นก็ต่อเมื่อโครงสร้างสังคมโครงสร้างหนึ่งได้ปลาสนาการไปแล้วและโครงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นมาแทนที่
และจะกล่าวได้ก็แต่เฉพาะในความหมายนี้เท่านั้น
จะเห็นได้จากกรณีของการพัฒนาเศรษฐกิจในญี่ปุ่น
ว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมประเภทนี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ในที่นี้เราหมายถึง
โครงสร้างของระบบการจัดลำดับสังคมของญี่ปุ่นได้เปลี่ยนไป
เพราะเหตุนี้ระบบการจัดลำดับสังคม (social stratification system) แบบอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นจึงแตกต่างจากระบบการจัดลำดับสังคมของญี่ปุ่นก่อนสมัยอุตสาหกรรม
ในทางตรงกันข้าม
“การเปลี่ยนแปลงทางปริมาณ” (quantitative change) มีความหมายแต่เพียงการเปลี่ยนแปลงในระดับ
ซึ่งโดยนัยนี้คือ ขนาดหรือปริมาณนั่นเองการเปลี่ยนแปลงทางสังคมประเภทนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในระบบสังคมทุกระบบอยู่ตลอดเวลาหากแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงมิได้ทำให้เกิดการสับเปลี่ยนโครงสร้างของสังคมซึ่งมีอยู่แต่เดิมโดยเกิดมีโครงสร้างใหม่ขึ้นแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า “การเปลี่ยนแปลงทางสังคมแบบปริมาณ”
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในโครงสร้างของสังคมและมิใช่เป็นการเปลี่ยนตัวโครงสร้างเอง
การเปลี่ยนแปลงซึ่งมีขึ้นภายในระบบการจัดลำดับสังคมของจีนและไทยซึ่งจะเสนอไปในบทความนี้เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมประเภทปริมาณ
การเปลี่ยนแปลงทั้งในแบบ
“ปริมาณ” และ “คุณภาพ”
มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวขั้นมูลฐานทางสังคมสองประเภทดังกล่าวแล้ว
คือ การเคลื่อนไหวของกลุ่มกับการเคลื่อนไหวของเอกชน
การเคลื่อนไหวของกลุ่มตามที่เราเข้าใจหมายถึงการเคลื่อนย้ายหรือการเปลี่ยนตำแหน่งของกลุ่มสังคมในระบบการจัดลำดับสังคม
ซึ่งมีผลทำให้โครงสร้างของระบบนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์ ตรงกันข้ามการเคลื่อนไหวของเอกชนแสดงถึงการเคลื่อนย้ายหรือการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของเอกชนภายในระบบการจัดลำดับสังคม
ซึ่งมิได้ยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบนั้นในทางใด (ตามความหมายของเรา
ครอบครัวและชาติวรรณะ (caste) แต่ละรายถือว่าเป็น “เอกชน”
และไม่ใช่ “กลุ่มสังคม” ) เมื่อตำแหน่งทางสังคม (และสถานภาพที่เกี่ยวเนื่องอยู่กับตำแหน่งนั้น) ของกลุ่มสังคมหรือเอกชนเปลี่ยนไปในทางที่สูงขึ้นหรือต่ำลงในระบบสูงต่ำของสถานภาพ
เรากล่าวว่ามี “การเคลื่อนไหวตามแนวตั้ง” (vertical mobility) การเคลื่อนไหวตามแนวตั้งที่ทำให้สถานภาพสูงขึ้นเรียกว่า
“การเคลื่อนไหวตามทางขึ้น” (upward mobility) และ
“การเคลื่อนไหวตามทางลง” (downward mobility) ในอีกทางหนึ่งเมื่อตำแหน่งทางสังคม
(และสถานภาพที่เกี่ยวเนื่องอยู่กับตำแหน่งนั้น) ของกลุ่มสังคมหรือเอกชนเปลี่ยนแปลงไปบนพื้นที่ราบ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
การเปลี่ยนแปลงที่มิได้ทำให้กลุ่มหรือเอกชนที่เกี่ยวข้องสูงขึ้นหรือต่ำลงบนบันไดของสถานภาพ
เรากล่าวว่ามี “การเคลื่อนไหวตามแนวนอน” (horizontal
mobility) เกิดขึ้น ในทรรศนะของเราการเคลื่อนไหวทั้งตามแนวตั้งและแนวนอนอาจจะเกิดขึ้นได้กับกลุ่มสังคมเช่นเดียวกับเอกชน
แนวความคิดในเรื่อง
“กลุ่มสังคม” ซึ่งเราอภิปรายในเชิงของการเคลื่อนไหวทางสังคมนั้น
มีความหมายไม่เฉพาะแต่กลุ่มครอบครัวซึ่งอาจจะเลื่อนขึ้นหรือเลื่อนลงบนบันไดแห่งสถานภาพโดยไม่มีผลทำให้โครงสร้างของสังคมเปลี่ยนแปลงไปเลยเท่านั้น
แต่กลุ่มสังคมมีความหมายกว้างกว่าครอบครัวของเอกชนในสังคมมากนัก
ทั้งนี้ไม่ว่าจำนวนสมาชิกในครอบครัวจะมีอยู่มากมายเท่าใดก็ตาม
กลุ่มสังคมจะต้องเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมซึ่งแสดงออกถึงการตระหนักในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือสถานการณ์ร่วมกันของหมู่ชนและเป็นหมู่ชนที่มีความผูกพันต่อกัน
ตามหลักเหตุผล
ตัวอย่างของการตระหนักร่วมกันที่ควรแก่การอ้างถึงในที่นี้ได้แก่ปรากฏการณ์ของ ซามูไร
ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มสังคมที่ก่อตั้งขึ้นมาจากหมู่ชาวนา (peasant) โดยได้รับสถานภาพร่วมและตำแหน่งทางสังคมเป็นกลุ่มต่างหากจากกลุ่มอื่นในสมัยการดิ้นรนระหว่างขุนศึกไทรากับขุนศึกโยริโตโม
(ค.ศ. 1160—1192) ผลจากการเปลี่ยนแปลงด้านสถานภาพและตำแหน่งทางสังคมของกลุ่มนี้ (จากชนชั้นชาวนาขึ้นไปเป็นชนชั้นซามูไร) ทำให้โครงสร้างของสังคมญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นอยู่แต่เดิม
นอกจากนั้นยังมีตัวอย่างทำนองเดียวกันนี้อีกในตอนปลายสมัยโตกูกาวา (ค.ศ. 1644—1911) เมื่อ ไตเมียว
(ขุนศึกเจ้าของที่ดิน) และสมุนซามูไรของเขา
(ซึ่งต่างก็มีสถานภาพเป็นกลุ่มสังคมโดยเอกเทศเพราะมีการตระหนักถึงกลุ่มของตัวซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะ)
ต่างก็สละสถานภาพเดิมของตนแล้วรวมตัวเข้ากับคนอาชีพค้าขายและอาชีพราชการ
ซึ่งเป็นอาชีพใหม่และร่วมก่อตั้งชนชั้นใหม่ขึ้นในสังคมญี่ปุ่น คือ ชนชั้นพ่อค้า-
อุตสาหกร
กับชนชั้นข้าราชการการเคลื่อนไหวทางสังคมลักษณะนี้ก็ทำให้โครงสร้างของญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไปอีกวาระหนึ่ง
การเคลื่อนไหวของเอกชน
ไม่ว่าจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีปริมาณมากเพียงใดก็ตามจะไม่อาจทำให้โครงสร้างของระบบสังคมเปลี่ยน
แม้ว่าการเคลื่อนไหวประเภทนี้อาจจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายภายในกรอบของโครงสร้างก็ตาม
ด้วยเหตุนี้การเคลื่อนไหวทางสังคมของเอกชนจึงนำมาเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางด้านปริมาณ
(quantitative
change) และไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพ (qualitative
change) ได้ แต่ในทางกลับกัน
โดยที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มเป็นการให้โครงสร้างของสังคมเปลี่ยน ฉะนั้น
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จึงจัดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในคุณภาพ
เพื่อที่จะย้ำถึงความหมายของแนวคิดเกี่ยวกับ
“การเคลื่อนไหวของกลุ่ม” เราจำเป็นต้องกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า
การเคลื่อนไหวประเภทนี้จะเรียกว่าเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการเปลี่ยนหรือย้ายตำแหน่งของกลุ่มสังคมมีผลกระทบโครงสร้างของสังคมถึงขั้นที่ทำให้โครงสร้างมีการไหวตัวและปรับตัวเอวเสียใหม่โดยสิ้นเชิงแล้วเท่านั้น
โดยนัยดังกล่าว เราจึงไม่อาจถือได้ว่า
การเคลื่อนไหวทางสังคมเช่นที่ปรากฏอยู่ในระบบชาติวรรณะ (caste system) ของอินเดีย เป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ถึงแม้จะมีความจริงอยู่ว่ากลุ่มชาติวรรณะเลื่อนตำแหน่งของตัวเองขึ้นลงอยู่เสมอบนมาตรของการแบ่งทางสังคมตามพิธีกรรม
หากแต่ว่าการเลื่อนดังกล่าวนี้กลับเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้โครงสร้างที่มีอยู่แล้วคงอยู่ต่อไปและมีความมั่นคงยิ่งขึ้น
และหาได้ทำหน้าที่ในด้านเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแต่ประการใดไม่
เนื่องจากนิยามของเราเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มมีอยู่ดังอธิบายไว้นี้
เราจึงจำต้องมีทรรศนะที่แตกต่างไปจากทรรศนะของศาสตราจารย์ศรีวิวัส
ถึงตอนนี้นับว่าเราได้ให้อรรถาธิบายถึงความหมายของแนวคิดและเป้าหมายของเราไว้เพียงพอแล้ว
ต่อไปเราจะเสนอลักษณะของการเคลื่อนไหวของกลุ่มในสังคมญี่ปุ่นและลักษณะของการเคลื่อนไหวของเอกชนในสังคมจีนเราจะแสดงตัวอย่างประกอบโดยถือการวิเคราะห์ของศาสนาอาจารย์นอร์แมน
เจค็อปส์ เป็นบันทัดฐาน
หลังจากนั้นเราจะค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวทั้งสองประเภทนี้กับการพัฒนาเศรษฐกิจอันแตกต่างกันตามแบบของญี่ปุ่นและจีน
งานวิเคราะห์การจัดลำดับสังคมหรือการแบ่งทางสังคมของเจค็อปส์
มีวิธีการเช่นเดียวกับวิธีของแม็กซ์ เวเบอร์ คือในขณะที่ เจค็อปส์ ชี้ให้เห็นว่า
“การศึกษาการจัดลำดับทางสังคมต้องกระทำโดยวิธีอภิปรายเกี่ยวกับชนชั้น”
และอธิบายต่อไปว่า “ชนชั้น ประกอบขึ้นด้วยองค์ประกอบทางสังคมที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน”
เขาก็เห็นความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องแยกชนชั้นออกต่างหากจาสถานภาพ (คำว่า
“สถานภาพ” เขาอธิบายว่าหมายถึงสถานภาพ “ร่วม.....corporate system) เจค็อปส์ให้คำจำกัดความของ “กลุ่มชนที่มีสถานภาพร่วม”
ว่าหมายถึงกลุ่มสังคมใด ๆ ที่ “โดยอิสระจากการควบคุมของภายนอกได้
กำหนดสิทธิและเสรีภาพในทางปฏิบัติให้แก่ตัวเอง
และจัดระเบียบหรือวางวินัยและองค์ประกอบของสมาชิกในกลุ่มของตัว
และบุคคลอื่นหรือกลุ่มอื่นยอมรับสิทธิทั้งหลายดังกล่าวนี้ว่าเป็นสิทธิพิเศษที่มีอยู่โดยชอบธรรม
อนุสนธิจากคำอธิบายของ
ศาตราจารย์เจค็อปส์
ระบบการจัดลำดับสังคมของญี่ปุ่นกับจีนเป็นระบบที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัดและแตกต่างกันตลอดมา
ในจีนการวัดความสูงต่ำหรือการแบ่งกันทางสังคมขึ้นอยู่กับการสันนิษฐาน เป็นการล่วงหน้า
ว่าบทบาททางสังคมบางบทบาทเป็นบทบาทที่ มีเกียรติ และบทบาทอื่น ไม่มีเกียรติ
ผู้ที่จะดำเนินบทบาทที่มีเกียรติในสังคมได้จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติหรือคุณธรรมที่จะเป็นผู้นำ
แต่บทบาทที่ไม่มีเกียรติเป็นบทบาทของผู้ไม่มีคุณสมบัติในการนำ และจำต้องตาม
ทั้งนี้เพื่อที่จะคงไว้ซึ่งความสามัคคีในสังคม
ผู้มีคุณสมบัติในการนำได้แก่ปัญญาชนซึ่งเป็นผู้มีค่าในสังคมและถือกันว่าอยู่ในตำแหน่งเหนือกว่าในทางศีลธรรม
(และสังคม) ในทางตรงกันข้ามผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติในการนำได้แก่ผู้ที่ขาดความเป็นปัญญาชนและขาดคุณค่า
และถือกันว่าอยู่ในตำแหน่งที่ด้อยกว่าในทางศีลธรรมจึงได้รับการคาดหมายจากสังคมให้เป็นผู้ตาม
พิจารณาจากแง่ของการวิเคราะห์การรวมกันเข้าเป็นชนชั้น
ลักษณะสำคัญของระบบการจัดลำดับสังคมจีนอยู่ที่ ชนชั้นร่วม (corporate classes) สองชนชั้นมีความแตกต่างกันในขั้นมูลฐาน
ชนชั้นร่วมสองชั้นนี้เป็นรากเง่าของระบบอำนาจและกลไกทางการเมืองของจีนตลอดมาในประวัติศาสตร์
ในจีนเก่าชนชั้นร่วมสองชั้นนี้ประกอบขึ้นด้วยส่วนสำคัญสองส่วน คือ
ปราชญ์ตามทางประเพณี (literati) และชาวนา ปราชญ์ คือ ผู้รู้ในลัทธิขงจื้อซึ่งเป็นผู้รู้วิถีของสังคม
ปราชญ์ผูกขาดอาชีพมูลฐาน คือการเป็นผู้นำและครอบครอง
ตำแหน่งสุดยอดในสังคมอยู่โดยวิถีที่ชอบธรรม
ที่อยู่เบื้องล่างของปราชญ์ตามระบบสถานภาพก็ได้แก่คนธรรมดาหรือสามัญชน
ซึ่งดำเนินอาชีพที่ไม่ได้เปรียบแต่อาชีพมูลฐานอีกอาชีพหนึ่ง คือ อาชีพเกษตรกรรม
ผลประโยชน์ทางอาชีพขั้นมูลฐานทั้งสองนี้เป็นที่ตั้งของชนชั้นร่วมที่แตกต่างกัน
และแต่ละชนชั้นก็มีผลประโยชน์ประเภทอื่นรวมผนวกเข้ามาด้วย เช่น
เจ้าของที่ดินและช่างฝีมือ เป็นต้น
เจ้าของที่ดินมีสถานภาพเทียบได้กับสถานภาพของพวกปราชญ์ในแง่ของบทบาท (role) คนเหล่านี้เป็นข้าราชการส่วนภูมิภาค อันได้แก่ขุนนางนั่นเอง ในทำนองเดียวกัน
ช่างและพ่อค้าก็มีสถานภาพผนวกเข้าได้กับชาวนา ในฐานะที่เป็นชนชั้นร่วมพวกปราชญ์และพวกที่มีผลประโยชน์อย่างอื่นแต่ผนวกเข้าได้กับปราชญ์เป็น
“กลุ่มอภิชน” มีความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงจากชนชั้นร่วมของพวกชาวนา
ศาสตราจารย์เจค็อปส์อธิบายการจัดลำดับสังคมของจีนซึ่งประกอบขึ้นด้วยคนสองชั้นร่วมกันนี้อย่างแจ่มแจ้ง
โดยกล่าวว่า
. . . .
ระบบสังคมนี้จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในเมื่อบทบาทของชนชั้นร่วมที่อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบเป็นบทบาทที่ดำเนินโดยบุคคลคนเดียวกันที่มีผลประโยชน์หลายอย่าง
(ตัวอย่างเช่นในกรณีที่ข้าราชการส่วนภูมิภาคเป็นเจ้าของที่ดิน
เป็นผู้ให้กู้เงิน เป็นตำรวจ และเป็นผู้ประกอบกิจการในการลงทุนและอื่น ๆ
ไปด้วยในตัว) และเมื่อบทบาทของชนชั้นร่วมที่อยู่ตำแหน่งที่ไม่ได้เปรียบเป็นบทบาทของเกษตรกรรม
(หรือแม้จะเป็นผู้มิได้มีผลประโยชน์ในอาชีพมูลฐานนี้แต่เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องและมีความปรารถนาที่จะกลับไปสู่ผืนดิน)
แต่ระบบนี้ก็ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพพอเพียงโดยวิธีการผนวกหรือเทียบสถานภาพของอาชีพต่าง
ๆ เข้ากับชนชั้นใดชั้นหนึ่งในสองชนชั้นที่มีอยู่ตามทางประเพณีนี้. . . กล่าวคือชนชั้นที่ได้เปรียบและมีหน้าที่ปกป้องและได้สิทธิครอบครองตำแหน่งสูงสุดในระบบสถานภาพฝ่ายหนึ่งกับชนชั้นที่ครองฐานขอระบบ
และต้องทนต่อการเสียเปรียบในสังคมอีกฝ่ายหนึ่ง
ในระยะเริ่มต้นของศตวรรษนี้
เมื่อพรรคจีนคณะชาติ (ก๊กมินตั๋ง) เข้ายึดอำนาจปกครองจากพวกเจ้า
พรรคจีนคณะชาติได้ลบล้างสถาบันตามประเพณีเดิมหลายอย่างรวมทั้งการสอบไล่เพื่อบรรจุนักปราชญ์เข้ารับราชการตามประเพณีเดิมซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง
ถ้ามองอย่างผิวเผินสถานการณ์ดังกล่าวนี้อาจทำให้เข้าใจไปว่า
ระบบการจัดลำดับสังคมของจีนตามแบบเดิมได้ถูกล้มล้างไปแล้ว
แต่โดยแท้จริงแล้วระบบสองชนชั้นหาได้สลายตัวไปแต่ประการไดไม่
สังคมจีนกลายใต้การปกครองของพรรคก๊กมินตั๋งยังคงมีลักษณะสำคัญอยู่ที่การแบ่งระหว่างชนชั้นร่วมขั้นร่วมสองชนชั้นอยู่เช่นเดิม
เว้นเสียแต่ว่าหลังจากก๊กมินตั๋งได้เปลี่ยนการปกครองแล้ว
กลุ่มอภิชนมิได้ประกอบด้วยปราชญ์ขงจื้อเหมือนแต่ก่อนเท่านั้น
เพราะสมาชิกภาพในกลุ่มอภิชนได้ถูกแทนที่โดยคนของพรรคคณะชาติซึ่งครอบครองตำแหน่งและทำหน้าที่ทางสังคมทำนองเดียวกับผู้ที่พวกเขาได้เข้ามาแทน
คือปราชญ์และผู้มีสถานภาพร่วมกับปราชญ์ทั้งหลาย ซึ่งถูกปลดออกไป
ต่อมาเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้าครอบครองอำนาจ
กลุ่มอภิชนก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงในด้านองค์ประกอบอีกครั้งหนึ่งและแม้ว่าจะมีการโฆษณากันไปเป็นอย่างอื่น
ระบบการจัดลำดับของสังคมจีนคอมมิวนิสต์ในทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นระบบสองชนชั้นอยู่ตามเดิม
กล่าวคือมีกลุ่มอภิชนควบคุมอำนาจและครอบครองตำแหน่งสุดยอดและมีกลุ่มกรรมาชีพ (ซึ่งมีลักษณะเทียบได้กับชาวนาแต่เดิม)
รั้งตำแหน่งต่ำสุดของสังคม การโฆษณาของพรรคคอมมิวนิสต์ในเรื่องความสำคัญทางสถานภาพของผู้พลีแรงงานให้แก่ประชาชน.
. . . กระดูกสันหลังของสังคมและในเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมกันหมดของอาชีพเป็นสิ่งที่อาจจะพิสูจน์ให้เห็นว่าตรงกันข้ามกับความเป็นจริงได้โดยง่าย
ถ้าเราเพียงแต่จะตั้งคำถามว่า กรรมกรจีนได้รับสถานภาพทางสังคมมาจากไหน จากคำขวัญของคอมมิวนิสต์ที่เน้นหนักในด้านความสำคัญของบทบาทและสถานภาพของกรรมกรหรือว่าจากเอกลักษณ์ที่แท้จริงของผู้เป็นกรรมกรเองซึ่งจำเป็นจะต้องเป็นคนละอย่างกับสหายของเขาที่มีส่วนได้เสียร่วมอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์
เราก็จะเข้าใจได้แจ่มแจ้งว่าระบบการจัดลำดับของสังคมของจีนแบบที่แบ่งเป็นสองชนชั้นร่วมตามประเพณีนั้นยังคงสภาพอยู่ตามเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัยว่า
กรรมกรอุตสาหกรรมในจีนคอมมิวนิสต์ทุกวันนี้ได้สร้างผลประโยชน์ทางอาชีพอย่างใหม่ขึ้นแต่ก็เป็นที่แน่นอนว่าในด้านสถานภาพทางสังคมนั้น
กรรมกรเทียบได้กับหรือผนวกเข้าได้กับชนชั้นซึ่งเป็นผู้ประกอบอาชีพมูลฐาน คือ
ชนชั้นชาวนานั่นเอง
ความแตกต่างด้านชนชั้นร่วมระหว่างสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์กับราษฎรผู้ประกอบแรงงานสามัญของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปัจจุบันเตือนให้เรารำลึกถึงสถานการณ์ในจีนเก่าสมัยที่ทหารของจักรพรรดิ
ซึ่งแม้จะมีปริมาณเคลื่อนไหวตามแนวนอนมาอยู่ตลอดเวลา
แต่กลับได้รับสถานภาพทางสังคมจากเอกลักษณ์ดั้งเดิมของตัว
คือความเป็นชาวนาหรือลูกชาวนามากกว่าที่จะได้จากการเป็นสมาชิกในกองทัพของจักรพรรดิ
เป็นที่เห็นได้ชัดเจนว่า
ภายในระบบการจัดระดับสังคมของจีนซึ่งประกอบด้วยชนชั้นร่วมขั้นมูลฐานสองชนชั้นนั้น
การเคลื่อนไหวทางสังคมเป็นการเคลื่อนไหวของเอกชนและไม่ว่าอัตราหรือปริมาณการเคลื่อนไหวทางสังคมจะมีมากน้อยแค่ไหน
การเคลื่อนไหวทางสังคมของจีนจะมีขึ้นได้ก็เฉพาะแต่ภายในวงจำกัดของพรมแดนของชนชั้นร่วมสองชนชั้นที่มีอยู่นี้เท่านั้น
เนื่องมาจากการที่สังคมจีนมีการเคลื่อนไหวทางสังคมประเภทนี้
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีขนาดใหญ่ จึงเป็นการเปลี่ยนแปลง “ปริมาณ” และไม่ใช่แบบ
“คุณภาพ”
ในประเทศจีนทั้งภายใต้การปกครองของพรรคคณะชาติ ไม่เคยปรากฏว่ามีสมาชิกส่วนใดของสังคมที่เคยก่อตัวขึ้นใหม่และกำหนดว่าตัวเองเป็นชนชั้นร่วมที่มีสถานภาพโดยชอบธรรมและเป็นอิสระจากการควบคุมของกลุ่มภายนอก
และสังคมโดยส่วนรวมจะต้องยอมรับว่าชนชั้นของตัวมีสถานภาพทางสังคมต่างหากจากชนชั้นร่วมทั้งสองที่มีอยู่แล้วแต่เดิม
ข้อสังเกตในเชิงประวัติศาสตร์ดังนี้น่าจะเป็นข้อพิสูจน์ได้แน่นอนว่าระบบสังคมจีนทำงานหรือทำหน้าที่ในลักษณะที่ไม่เปิดโอกาสให้มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มและการเปลี่ยนแปลงในคุณภาพของสังคมเกิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้ถ้าเรายอมรับในหลักการที่ว่า
การพัฒนาเศรษฐกิจตามครรลองของทุนนิยมสมัยใหม่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีชนชั้นร่วมของพ่อค้าและอุตสาหกรอยู่ในระบบสังคม
(ชนชั้นร่วมนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมหรือ
“การเปลี่ยนแปลงในคุณภาพ” เท่านั้น
เราก็จะเข้าใจได้ทันทีถึงสาเหตุที่ประเทศจีนมิได้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจตามแบบทุนนิยมสมัยใหม่
ข้อโต้แย้งของเรานั่นอยู่ที่ว่า
เนื่องจากจีนมิได้อำนวยให้มีการเคลื่อนไหวทางสังคมในแบบการเคลื่อนไหวของกลุ่ม
จีนจึงไม่สามารถพัฒนาและก็ไม่พัฒนาไปตามวิถีทางนั้น
ในทางตรงกันข้ามกับจีน
การจัดลำดับสังคมของญี่ปุ่นมีลักษณะสำคัญอยู่ที่ ความไม่มั่นคงถาวร ของระบบสถานภาพในสังคมญี่ปุ่น
ไม่มีการสันนิษฐานล่วงหน้าว่าผลประโยชน์ของอาชีพใดจะต้องเป็นผลประโยชน์ที่อยู่ในตำแหน่งอันได้เปรียบและมีสถานภาพพิเศษตายตัว
แตกต่างและเหนือผลประโยชน์ของอาชีพอื่น
ด้วยเหตุนี้ในสังคมญี่ปุ่นจึงมีปรากฏการณ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านสถานภาพและบทบาททางสังคมอยู่ตลอดเวลาและเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดยั้ง
เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ในกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงนี้ผลประโยชน์ของอาชีพใหม่ ๆ
ก็เผยตัวขึ้นมาและกำหนดสถานภาพร่วมของตัวเองขึ้นโดยเป็นอิสระจากชนชั้นอื่นและก็เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายในระบบสังคม
การแบ่งทางสังคมในญี่ปุ่นนั้นต่างกับในจีนด้วยเหตุที่ว่าในสังคมญี่ปุ่น
บทบาทของอาชีพแต่ละบทบาทเป็นบทบาทที่มีเกียรติ
ถึงแม้แต่ละบทบาทจะไม่ได้เปรียบในสังคมเท่าเทียมกันก็ตาม ไม่มีอาชีพใด ๆ ที่ถือกัน
แต่ดั้งเดิม
ว่าเป็นอาชีพขั้นมูลฐานเพราะเป็นอาชีพที่มีความสำคัญต่อการคงอยู่ของสังคม
และผลประโยชน์อื่น ๆ จะต้องยอมโอนอ่อนให้แก่อาชีพนั้นทั้งหมด
บทบาทของอาชีพแต่ละบทบาทที่มีอยู่ในแต่ละกาลสมัยรวมทั้งศักดิ์ศรีของบทบาทนั้น ๆ
ในแต่ละหน่วยแห่งการแบ่งงานเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์อยู่กับโครงสร้างของอำนาจ
การทำหน้าที่เชื่อมโยงกันระหว่างโครงสร้างของอำนาจและศักดิ์ศรีของผลประโยชน์ด้านอาชีพแต่อย่างเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความแตกต่างระหว่างชนชั้นและความแตกต่างที่เนื่องมาจากปัจจัยในการวัดทางสังคมดังกล่าวนี้
เป็นเครื่องหมายของระบบการจัดระดับของสังคมญี่ปุ่นในแต่ละยุค
ในทุกยุคระบบการจัดลำดับชั้นในสังคมญี่ปุ่นมีลักษณะสำคัญอยู่ที่การพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของกลุ่มผลประโยชน์ทุกฝ่ายที่จะเพิ่มศักดิ์ศรีของตัวเองและตีค่าบทบาทของตัวเองว่าเป็นศักดิ์ศรีและสถานภาพที่สังคมจะต้องรับรู้
ในญี่ปุ่นไม่มีระบบการจัดลำดับชั้นในสังคมตามอุดมคติใด ๆ
ที่ถือว่ามีอายุยั่งยืนเหนือผลประโยชน์อื่น ๆ ชนชั้นที่ได้เปรียบพยายามอยู่ตลอดเวลาที่จะรักษาสถานภาพเดิมโดยการปฏิบัติต่อชนชั้นที่ไม่ได้เปรียบอย่างรุนแรง
และโดยแยกตัวเองให้แตกต่างออกไปจากชนชั้นที่ไม่ได้เปรียบทั้งในแบบอย่างของการดำรงชีวิตและบริโภค
(style
of life and style of consumption) ในขณะเดียวกันชนชั้นที่ไม่ได้เปรียบก็พยายามอยู่อย่างไม่หยุดยั้งและโดยไม่ปิดบังที่จะขัดขืนกฎเกณฑ์ในการแบ่งแยกด้านชนชั้นซึ่งชนชั้นอื่นได้วางไว้อย่างหนาแน่น
ทั้งนี้เพื่อที่จะปรับปรุงตำแหน่งและสถานภาพที่เสียเปรียบของตนบนชั้นบันไดของสังคม
เนื่องจากระบบการจัดลำดับทางสังคมญี่ปุ่น
มีกฎเกณฑ์ในการวัดและแบ่งทางสังคมประเภทนี้
ระบบการจัดลำดับทางสังคมของญี่ปุ่นจึงแสดงให้เห็นได้อยู่ตลอดเวลาถึงความไม่มั่นคงถาวรของระบบ
การเปลี่ยนแปลงแล้วเปลี่ยนอีกในด้านบทบาทและสถานภาพ
ปรากฏมีมาตั้งแต่สมัยต้นของประวัติศาสตร์ คือในยุคไทควา—ไทโฮ (ค.ศ. 645—866) เมื่อราชสำนักของจักรพรรดิได้ใช้ความพยายามที่จะสถาปนาระบบชนชั้นที่มีลักษณะตัวตามแบบของสังคมจีนโดยให้อาชีพแต่ละประเภทอยู่ในสถานสูงต่ำเป็นการแน่นอนไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงในระบบตามอุดมคติแบบนี้
ราชวงศ์ และขุนนาง ข้าราชบริพารของจักรพรรดิจะดำรงตำแหน่งทางสังคมสูงสุดในฐานเป็นชนชั้นที่ได้เปรียบ
ถัดจากระดับสูงสุดจะเป็นชนชั้นที่ไม่ได้เปรียบในสังคม คือ
ชาวนาเจ้าของที่ดินซึ่งจะเป็นผู้เสียภาษีอากรให้กับจักรพรรดิและอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายเกณฑ์ทหารและเกณฑ์แรงงาน
ต่อจากชนชั้นนี้ลงไปจะเป็นชนชั้นที่ครอบครองตำแหน่งรั้งท้ายของสังคม คือ ชนชั้นทาส
แต่ถึงแม้ทางราชสำนักจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะจัดระบบลำดับชั้นของสังคมขึ้นตามวิธีนี้
แต่วิธีการเช่นนี้ก็หาได้คงทนถาวรอยู่นานไม่
และก็เริ่มคลอนแคลนลงหลังจากที่เวลาได้ผ่านไปเพียงเล็กน้อย เนื่องมาจากการที่เจ้าของที่ดินเริ่มมีอำนาจขึ้นและค่อย
ๆ ท้าทายอำนาจของจักรพรรดิด้วยการไม่ยอมเสียภาษีอากร
นอกจากนั้นยังประกาศตัวเองเป็นอิสระไม่ยอมให้ราชสำนักมามีอำนาจเหนือที่ดินของตนด้วย
ปรากฏการณ์สำคัญที่สุดก็คือการก่อตั้งตระกูลขึ้นในหมู่นักรบที่เคยมีส่วนช่วยจักรพรรดิโคบุนทำการรบระหว่างปี
ค.ศ. 674 ถึง 672 ตระกูลที่นักรับพากันก่อตั้งขึ้นเหล่านี้มีลักษณะที่กำหนดให้ลูกลานสืบเชื้อสายในทางสถานภาพและตำแหน่งต่อจากบรรพบุรุษของตนได้
ในทางสังคมวิทยานักรบเหล่านี้จึงเป็นผู้ก่อกำเนิดชนชั้นใหม่ขึ้นและเป็นชนชั้นซึ่งแสดงออกถึงความมีสถานภาพร่วมในหมู่สมาชิกและครอบครองตำแหน่งทางสังคมต่างหากจากชนชั้นที่จักรพรรดิต้องการจะให้มีขึ้นตามแบบจีน
ในไม่ช้าชนชั้นใหม่นี้ก็นำจุดจบมาสู่ระบบการจัดลำดับทางสังคมตามกฏหมายในยุคไทควา--ไทโฮ ซึ่งราชสำนักวางผังเอาไว้ ในช่วงเวลาเดียวกันทาสเป็นจำนวนมาก็พากันปลดปล่อยตัวเองจากการปกครองอย่างเข้มงวดรุนแรงของนายทาส
คือราชสำนักโดยการหนีไปร่วมกับเจ้าของที่ดินซึ่งกำลังแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน
ยุคไทควา—ไทโฮ จึงสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์ในเมื่อจักรพรรดิไม่อาจบังคับบัญชาเจ้าของที่ดินได้อีกต่อไป
ในที่สุดเจ้าของที่ดินก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นขุนศึกและมีก่อตั้งระบบการจัดลำดับทางสังคมของสถานภาพที่มีลักษณะแน่นอนตายตัวแบบจีนนับว่าได้ถึงที่สุดในเมื่อโครงสร้างสังคมอันนี้สลายตัวลงและโครงสร้างใหม่ก่อรูปขึ้นมาแทนที่
โครงสร้างการจัดลำดับทางสังคมใหม่ของญี่ปุ่นในสมัยต่อมาจึงประกอบด้วย ราชวงศ์และขุนนางข้าราชบริพารของจักรพรรดิขุนศึกเจ้าของที่ดินในชนบท
และขุนนางชั้นรองซึ่งอยู่ใต้อาณัติขุนศึกเจ้าของที่ดิน (คือ
จูนิน หรือ ขุนนางซึ่งพำนักอยู่เป็นประจำในที่ดินของขุนศึก และ จิซู
หรือขุนนางฝ่ายปกครองและคุ้มกัน) โครงสร้างใหม่นี้แตกต่างจากโครงสร้างเก่าของระบบจัดลำดับทางสังคมในยุคไทควา—ไทโฮ
โดนนัยสำคัญ คือ
โครงสร้างอันนี้จัดสถานภาพและลำดับของราชวงศ์และขุนนางข้าราชบริพารของจักรพรรดิให้เท่าเทียมกันกับและไม่สูงกว่าขุนศึกเจ้าของที่ดินในชนบท
บรรดาขุนศึกเจ้าของที่ดินเหล่านี้ซึ่งรวมถึงตระกูลฟูจิวารา ต่างก็ได้รับสถานภาพร่วมโดยมีอิสระและเป็นที่ยอมรับของสังคมและอยู่ในตำแหน่งต่างหากจากชนชั้นของกลุ่มจักรพรรดิ
แม้ว่าจะมีสถานภาพร่วมกันอยู่ก็ตาม
ชนชั้นที่อยู่ภายใต้ชนชั้นร่วมทั้งสองก็ได้แก่ชนชั้นชาวนาซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นทหารด้วย
โครงสร้างทางสังคมใหม่นี้
มีลักษณะแตกต่างจากโครงสร้างเดิมอยู่หลายประการแม้ว่าชนชั้นจักรพรรดิจะยังคงครองตำแหน่งสูงสุดในสังคม
แต่ชนชั้นนี้หาได้ผูกขาดตำแหน่งนี้ในระบบการจัดลำดับทางสังคมแต่ประการใดไม่เพราะชนชั้นจักรพรรดิต้องแบ่งเนื้อที่ในตำแหน่งได้เปรียบทางสังคม
ให้แก่ชนชั้นเจ้าของที่ดินซึ่งเปลี่ยนฐานะเป็นขุนศึกไปแล้วด้วย
ภายใต้ชนชั้นร่วมทั้งสองนี้เป็นชนชั้นของชาวนา—นักรบ
ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่เคยเป็นทาสแล้วหนีจากสถานภาพของชนชั้นร่วมภายใต้อาณัติของนายทาส
คือ ชนชั้นจักรพรรดิไปสู่อิสรภาพ เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป
ชาวนาและนักรบก็แยกตัวเองออกจากกันและเปลี่ยนสถานภาพไปเป็นชนชั้นใหม่อีกสองชั้น
ได้แก่ชนชั้นชาวนาและชนชั้นนักรบ แต่ละชนชั้นก็มีสถานภาพร่วมทางสังคมอย่างใหม่
กล่าวคือ ชาวนาที่เป็นนักรบไปด้วยพร้อม ๆ กันต่างพากันละทิ้งอาชีพทางเกษตรกรรม
และใช้กำลังทหารของตัวบีบบังคับเพื่อนชาวนาพวกที่ไม่เป็นนักรบให้ลงไปสู่ตำแหน่งของชนชั้นชาวนาที่แท้จริง
ให้มีหน้าที่ทำนาหาประโยชน์ให้แก่ขุนศึก เจ้าของที่ดิน (ไดเมียว)
ในที่สุดชาวนาจึงอยู่ในลักษณะหรือสถานภาพกึ่งทาสกึ่งไท (serf)
ในสมัยนี้เองที่ระบบฟิวตัล (feudalism) ได้วิวัฒนาการขึ้นเป็นแบบหรือลักษณะของสังคมญี่ปุ่นสมัยกลาง
ในบรรดาขุนศึกเจ้าของที่ดินซึ่งจัดเป็นชนชั้นร่วมที่ได้เลื่อนสถานภาพและอันดับขึ้นไปเทียบกับชนชั้นจักรพรรดินั้นจะต้องมีสมาชิกของตระกูลที่เข้มแข็งและรุ่งโรจน์ตระกูลหนึ่งอยู่เสมอที่มีอำนาจควบคุมราชสำนักและดำเนินราชกิจของจักรพรรดิในพระนามขององค์จักรพรรดิเอง
ขุนศึกเจ้าของที่ดินดังกล่าวนี้ต่อมาได้สมญาว่า โซกุน และมีตำแหน่งเป็นผู้ปกครองในส่วนกลางอยู่ในพระนามของจักรพรรดิ
ส่วนขุนศึกเจ้าของที่ดินตระกูลอื่น ๆ ก็มีความเกี่ยวดองอยู่กับ โชกุนโดยมีความใกล้ชิดแตกต่างกันไปตามลำดับ
โชกุนและขุนศึกเจ้าของที่ดินอื่น ๆ จึงดำรงตำแหน่งที่ได้เปรียบในระดับสูงสุดของสังคมเคียงข้างกันไปกับราชสำนักของจักรพรรดิ
ชนอีกชั้นหนึ่งซึ่งมีฐานะเทียบได้หรือผนวกเข้าได้กับชนชั้นกันไปกับราชสำนักของจักรพรรดิ
ชนอีกชั้นหนึ่งซึ่งมีฐานะเทียบได้หรือผนวกเข้าได้กับชนชั้นจักรพรรดิและขุนศึกเจ้าของที่ดิน
คือ ชนชั้นสงฆ์ในศาสนาพุทธซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินประดับอาวุธและทำการรบอย่างเดียวกับชนชั้นขุนศึกเจ้าของที่ดินฝ่ายฆราวาส
ในระดับที่ต่ำกว่าชนชั้นทั้งสองดังกล่าวลงมาเป็นระดับของบรรดาอัศวินลูกน้องของขุนศึก
ซึ่งมีสถานภาพเป็นชนชั้นร่วมอีกชนชั้นหนึ่ง ในฐานะเป็นชนชั้นร่วมในสังคม
อัศวินลูกน้องของขุนศึกได้รับอภิสิทธิที่จะไม่ต้องทำงานในไร่นาและผลิตอาหารเพื่อบริโภค
อัศวินได้รับผลตอบแทนเป็นส่วนแบ่งของข้าวจากนาของขุนศึกเจ้าของที่ดิน
ซึ่งอัศวินรับใช้อยู่สำหรับเป็นปัจจัยในการยังชีพ
ต่อจากชนชั้นอัศวินเป็นชนชั้นชาวนา ซึ่งมีฐานะแบบกึ่งทาสกึ่งไท
และอยู่ในลำดับต่ำที่สุดของระบบการจัดลำดับทางสังคม
ชาวนาเหล่านี้รวมกันเป็นชนชั้นที่เสียเปรียบในสังคมถูกบังคับให้ทำการเพราะปลูกในที่ดินของขุนศึกเจ้าของที่ดินโดยที่ตัวเองไม่ได้รับผลประโยชน์จากแรงงานของตัวเลย
ในยุคโตกูกาวา
( ค.ศ. 1603—1868) โชกุนซึ่งกุมอำนาจปกครองอยู่โดยพฤตินัยออกกฤษฏีกาให้กำหนดชนชั้นเสียใหม่ให้เป็นการแน่นอนตายตัว
ภายในระบบใหม่ตามอุดมคติของโชกุนนี้ สังคมญี่ปุ่นจะประกอบด้วยชนสี่ชั้น คือ ชิ-โน-โค-โซ ซึ่งหมายถึงนักรบ
ชาวนา ช่าง และพ่อค้า แต่ในระบบใหม่นี้โชกุนก็มิได้รวมฝ่ายผลประโยชน์หลายฝ่ายเข้าไว้ด้วย
คือ สงฆ์ (ซึ่งผนวกเข้าเป็นชนชั้นร่วมกับขุนศึกเจ้าของที่ดิน)
ราชวงศ์และขุนนางขาราชบริพารของจักรพรรดิและพวกจัณฑาล (เอต้า) การที่โชกุนพยายามจัดระบบชนชั้นในสังคมเสียใหม่และต้องการให้เป็นระบบที่มีลักษณะตายตัวดังกล่าวนี้
เนื่องจากโชกุนต้องการรักษาสถานภาพเดิมในสังคมไว้ให้ถาวรมั่นคงและไม่มีการเปลี่ยนแปลง
โชกุนต้องการให้ขุนศึกดำรงตำแหน่งได้เปรียบเทียบชนชั้นสูงสุดในสังคม
มีชาวนาเป็นผู้ผลิตอาหารเลี้ยงและช่างกับพ่อค้า (ซึ่งเรียกกันว่าชนชั้น
โช) เป็นชนชั้นต่ำไม่ได้เปรียบในสังคม
แม้กระนั้นก็ตามผลประโยชน์ในอาชีพแต่ละอย่างดังกล่าวนี้ต่างก็มีสถานภาพเป็นชนชั้นร่วมทั้งสิ้น
ภายในเวลาไม่นานชนชั้นพ่อค้าก็เติบโตขึ้นมีอำนาจทางเศรษฐกิจและขยายอิทธิพลเหนือชนชั้นนักรบ
ซึ่งตกเป็นลูกหนี้ของพ่อค้าอย่างมากมาย
ปรากฎการณ์ที่ชนชั้นนักรบเสื่อมสถานภาพนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นโดยตรงถึงก้าวแรกแห่งอาวสานของระบบฟิวดัลในญี่ปุ่น
ในช่วงสุดท้ายของระบบฟิวดัลขุนศึกเจ้าของที่ดินจำนวนไม่น้อยพากันรวมตัว (หรือรวมสถานภาพ) เข้ากับพ่อค้า
และสร้างชนชั้นขึ้นใหม่อันได้แก่ชนชั้นพ่อค้า—อุตสาหกร
ในทำนองเดียวกันเมื่อมีการก่อตั้งระบบราชการและกองทัพสมัยใหม่ขึ้น นักรบ ซามูไร
จำนวนมาก็เข้ารับตำแหน่งในองค์การของรัฐทั้งทางฝ่ายพลเรือนและทหาร
และก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางอาชีพอย่างใหม่ขึ้นในระบบการแบ่งงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่
ในทางตรงกันข้ามกับชนชั้นที่ได้เปรียบซึ่งประสานตัวเข้าด้วยกันเหล่านี้
คนอาชีพชาวนาซึ่งถูกกำหนดให้เป็นกสิกรเสรี (farmer) ในระบบการจัดลำดับทางสังคมยุคโตกูกาวา
กลับตกไปสู่ตำแหน่งเสียเปรียบอีกครั้งหนึ่ง โดยผลของการบีบบังคับอย่างรุนแรงของกลุ่มสถานภาพใหม่ซึ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบ
กลุ่มชาวนา (peasant) จึงตกไปอยู่ลำดับต่ำสุดของสังคม
และต้องถูกบังคับให้ทำนาในที่นาซึ่งตัวไม่ได้เป็นเจ้าของอีกครั้งหนึ่ง
ในสายตาของพ่อค้าซึ่งใช้อำนาจเงินซื้อกรรมสิทธิ์เหนือที่ดิน
ชาวนากลายเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงเพราะชาวนาต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดิน
ชาวนากลายเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงเพราะชาวนาต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดิน
ในแง่ของทางราชการก็เช่นกัน ปรากฏว่าชาวนาเป็นขุมทรัพย์ทางภาษีอากรที่สำคัญ
ในทุกด้านชาวนาจึงเป็นชนชั้นที่ยืนอยู่บนขั้นที่ต่ำสุดของบันไดสังคม
การเจริญเติบโตของลัทธิอุตสาหกรรมสมัยใหม่
หรือทุนนิยมสมัยใหม่ในญี่ปุ่นหาใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญไม่
สังคมญี่ปุ่นมีส่วนประกอบของโครงสร้างมาหลายที่ทำหน้าที่สนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางดังกล่าวนี้
ส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างอันหนึ่งซึ่งช่วยปูพื้นฐานให้ทุนนิยมสมัยใหม่ก่อกำเนิดขึ้นได้แก่
ลักษณะหรือประเภทของการเคลื่อนไหวทางสังคมของญี่ปุ่นเอง เราได้วิเคราะห์ให้เห็นแล้วถึงการเปลี่ยน
(รูปและหน้าที่) ของโครงสร้างของระบบชนชั้นในยุคสำคัญ
ๆ ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นหลายยุค ปรากฏการณ์ที่เราศึกษาแสดงให้เห็นว่า
การเคลื่อนไหวของกลุ่มสังคมเป็นสิ่งที่มีอยู่ตลอดเวลาในสังคมญี่ปุ่น
การเคลื่อนไหวทางสังคมประเภทนี้ได้ทำให้โครงสร้างสังคมเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทคุณภาพในที่สุดเมื่อความจำเป็นทางสังคมกำหนดให้การเปลี่ยนแปลงประเภทนี้ก็นำไปสู่การก่อกำเนิดทุนนิยมสมัยใหม่
ทุนนิยมสมัยใหม่ซึ่งเป็นองค์การทางสังคมและเศรษฐกิจที่เสริมสร้างสภาวการณ์ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจตามครรลองเฉพาะอย่างก่อกำเนิดขึ้นในญี่ปุ่นมิใช่เนื่องมาจากผลการปฏิบัติตามแผนพัฒนาภายในกรอบของรัฐบาลหรือราชการใด
ๆ แต่เป็นการทำหน้าที่ของโครงสร้างสังคมอันหนึ่ง
ซึ่งอำนวยให้การเคลื่อนไหวทางสังคมแบบการเคลื่อนไหวของกลุ่มและการเปลี่ยนโครงสร้างเกิดขึ้นได้
เมื่อการเคลื่อนไหวทางสังคมอำนวยให้ชนชั้นร่วมของพ่อค้าและอุตสาหกรก่อร่างขึ้นและชนชั้นร่วมนี้มีความแข็งแกร่งเพียงพอในทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว
สังคมญี่ปุ่นโดยส่วนรวมก็เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตัวเองและพัฒนาทุนนิยมสมัยใหม่ซึ่งหมายถึงการพัฒนาเศรษฐกิจตามวิถีทางอันนั้นไปพร้อมกัน
ในตอนก่อน
ๆ
เราได้วางรากฐานทางทฤษฏีและแสดงหลักฐานจากสังคมจีนและญี่ปุ่นสนับสนุนคำอธิบายของเราไว้พอควรแล้ว
ต่อไปนี้เราจะหันมาสนใจในประเทศเอเชียอีกประเทศหนึ่ง คือ ไทย
การตรวจสอบปรากฏการณ์ในประวัติศาสตร์ของไทยทำให้เราทราบได้ว่า ลักษณะของการเคลื่อนไหวทางสังคมของไทยเป็นแบบการเคลื่อนไหวของเอกชนและไม่ใช่การเคลื่อนไหวของกลุ่ม
การที่จะเข้าใจเนื้อหาของการเคลื่อนไหวของเอกชนในสังคมไทยนั้น
จำเป็นต้องกระทำโดยการพยายามวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นร่วมในวิถีทางที่โครงสร้างของสถานภาพ
กลไกของอำนาจ และระบบการแบ่งงานของสังคมไทย (เช่นเดียวกับในสังคมอื่นทุกสังคม)
มีความสัมพันธ์ทางหน้าที่เกี่ยวเนื่องกัน
และการวิเคราะห์ต้องกระทำตลอดช่วงประวัติศาสตร์
เริ่มต้นตั้งแต่ระยะแรกที่สุดของยุคสุโขทัย (ค.ศ. 1238—1350) เมื่อชนชาวไทยได้รวมตัวกันขึ้นเป็นประเทศชาติภายใต้การปกครองแบบ
“ปิตุราชย์” (พ่อเมือง)
ซึ่งทรงพระนามว่าพระร่วง
ผู้ปกครองประเทศพร้อมด้วยราชตระกูลและขุนนางของราชสำนักดำรงตำแหน่งสูงสุดในระบบสูงต่ำของสถานภาพ
บุคคลในผลประโยชน์ทางอาชีพประเภทนี้รวมตัวกันขึ้นเป็นชนชั้นร่วมที่อยู่ใต้ตำแหน่งได้เปรียบในสังคมและคงความเป็นชนชั้นที่ได้เปรียบอยู่ในระบบการจัดลำดับทางสังคมของไทยอยู่ตลอดเวลา
นับเป็นเวลาหลายศตวรรษในระดับต่ำกว่าชนชั้นร่วมที่ได้เปรียบนี้เป็นคนสามัญที่มีผลประโยชน์ทางอาชีพหลายอย่าง
ที่เป็นมูลฐานที่สุดได้แก่ผลประโยชน์ทางอาชีพเกษตรกรรม ผลประโยชน์ในอาชีพอื่นที่ผนวกหรือเทียบเข้าได้กับเกษตรกรรมก็ได้แก่
การค้าขายและการช่างฝีมือ
ผู้ประกอบอาชีพทางใช้ฝีมือซึ่งตามประเพณีก็อยู่ใกล้ชิดกับผืนดินอยู่แล้วจึงจัดเทียบสถานภาพได้เป็นชนชั้นเดียวกับชาวนาได้อย่างง่ายดาย
อาชีพพ่อค้าก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าพ่อขุนรามคำแหง กษัตริย์องค์หนึ่งในยุคนี้จะพยายามชักจูงให้พัฒนาอยู่มาก
แต่การค้าก็มีสภาพจัดเข้าได้ในชั้นเดียวกับอาชีพทำนาอย่างไม่ต้องสงสัย
ในสมัยแรกของประวัติศาสตร์ไทย ชาวนาเป็นชาวนาเสรี ไม่ถูกบังคับหรือถูกเกณฑ์แรงงาน
นอกจากนั้นยังไม่มีทาสในสังคม ทุกอาชีพดังกล่าวนี้จึงครอบครองตำแหน่งที่ไม่ได้เปรียบในสังคม
นอกจากชนชั้นร่วมดังกล่าว
ตั้งแต่แรกเริ่มยังมีคณะสงฆ์ในพุทธศาสนาซึ่งเป็นกลุ่มสถานภาพแยกอยู่โดยเฉพาะ
เมื่อเปรียบเทียบกับคณะสงฆ์ในพุทธศาสนาของญี่ปุ่น
คณะสงฆ์ไทยไม่ได้ดำเนินบทบาทของผู้มีผลประโยชน์ในอาชีพเจ้าของที่ดินและก็มิได้มีสถานภาพเทียบหรือผนวกเข้ากับชนชั้นนักรบ
เพราะชนชั้นนักรบไม่มีอยู่ในสังคมไทย ถีงแม้ว่าพระสงฆ์ไทยจะได้เปรียบ
แต่ก็มิได้มีสถานภาพผนวกเข้ากับสถานภาพของชนชั้นที่ได้เปรียบฝ่ายฆราวาส
หากแต่คณะสงฆ์ดำรงตำแหน่งทางสังคมอยู่นอกระบบสูงต่ำแห่งสถานภาพของฆราวาส
ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เรียกว่า “การแยกสถานภาพ” (status separation) ระหว่างฝ่ายบ้านกับฝ่ายวัด
(หรือทางโลก กับทางธรรม) ในระบบการจัดลำดับทางสังคมของไทยปรากฏการณ์ทำนองนี้อาจสังเกตเห็นได้ตลอดประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
เมื่อใกล้จะสิ้นยุคสุโขทัย
ได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายอย่างในสังคมไทยอันเป็นผลจากการสงครามติดพันกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขมร
ประเทศไทยจับเชลยศึกมาได้เป็นจำนวนมาก เชลยศึกเหล่านี้ถูกนำมาเป็นทาสในประเทศไทย
ต่อจากนั้นก็ปรากฏมีทาสสินไถ่ (Bond Slavery) ขึ้น
ทาสจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งในสังคมไทยและครองตำแหน่งอยู่ต่ำสุดบนบันไดแห่งสถานภาพ
แต่ถึงแม้ทาสในสังคมไทยจะมีชะตากรรมอย่างเดียวกันหรือคล้ายคลึงกับทาสในสังคมอื่น
แต่ทาสในประเทศไทยก็มิเคยได้ก่อรูปทางสังคมขึ้นเป็นชนชั้นร่วมต่างหากจากชนชั้นอื่น
ทั้งนี้เพราะทาสมีสถานภาพที่ไม่แตกต่างไปจากชนชั้นของผู้มีผลประโยชน์ทางอาชีพเกษตรกรรมอย่างอื่นมากนักและคนในอาชีพเกษตรกรรมทั้งหมดในสมัยต่อมาก็ได้ถูกแบ่งแยกออกอย่างชัดเจนจากชนชั้นอภิสิทธิทั้งหลาย
ชาวนาและผู้ประกอบอาชีพอื่นที่คล้ายคลึงกันถูกเกณฑ์แรงงานและเกณฑ์ทหารตามพระราชกฤษฏีกา
ผลจากการสงครามกับเขมรอีกประการหนึ่ง คือ การที่พระเจ้าแผ่นดินทางแต่งตั้งพระองค์เองขึ้นเป็นเทวราชย์โดยเปลี่ยนพระราชสมญาจากที่มีอยู่เดิม
คือ ปิตุราชย์ นักเขียนคนหนึ่งอธิบายลักษณะของเทวราชย์ไทยในสมัยกลาง ว่าทรงเป็น
“พระมหากษัตริย์ที่มีคุณลักษณะของเทพเจ้าพราหมณ์ พระองค์ทรงสถิตย์อยู่ท่ามกลางการคุ้มครองป้องกันของพลังลึกลับในลัทธิพราหมณ์
เช่น เครื่องประดับของพระราชาที่มีเวทย์มนต์ พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์
และห้อมล้อมอยู่ด้วยขุนนางที่ชำนาญทางประจบสอพลอ
ตำแหน่งของพระองค์เป็นตำแหน่งที่ศักดิ์สิทธ์โดดเดี่ยวและห่างไกล
ประชาชนสามัญไม่พึงเข้าใกล้พระองค์ ผู้ที่จะกราบทูลพระองค์ก็ต้องพูดด้วยภาษาเฉพาะเพื่อแสดงออกซึ่งความสักการะบูชา
ศิลปจำลองลักษณะของพระองค์ด้วยรูปของพลังเหนือธรรมชาติ”
ข้าราชสำนักซึ่งเป็นขุนนางข้าราชบริพารต่างพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าแผ่นดิน
และพระราชวงศ์ทั้งหลายต่างก็แยกตัวเองออกไปตามระยะทางสังคม (social
distance) ที่ห่างไกลจากสามัญชน
ตามขั้นบันไดแห่งสถานภาพสามัญชนตกอยู่บนชั้นต่ำสุดตลอดไป
พิจารณาจากแง่ของการวิเคราะห์ชนชั้นร่วม
การเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นในยุคสุโขทัยต่อยุคอยุธยานี้
แม้ว่าจะมีผลกระทบถึงประชาชนหลายฝ่าย
แต่โดยแท้จริงแล้วก็หาได้มีผลต่อระบบจัดลำดับทางสังคมของสถานภาพที่มีอยู่ไม่
ความแตกต่างขั้นมูลฐานระหว่างชนชั้นได้เปรียบกับชนชั้นไม่ได้เปรียบ (ซึ่งรวมถึงทาส)
มิได้เปลี่ยนแปลงไปเลย
การเปลี่ยนแปลงของระยะทางสังคมระหว่างชนชั้นร่วมทั้งสองและการที่มีทาสเพิ่มเข้ามาเป็นส่วนประกอบของสังคมเป็นเพียงสิ่งที่แสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงทางปริมาณ
หาใช่การเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพแต่อย่างใดไม่
การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในโครงสร้างและมิใช้การ เปลี่ยนโครงสร้าง
ของระบบการจัดลำดับสังคม
เมื่อพระมหากษัตริย์ของไทยทรงเปลี่ยนไปเป็นพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญเมื่อปี
พ.ศ. 2475 กลไกของอำนาจในสังคมก็เปลี่ยนไปเป็นส่วนประกอบไปด้วย
คณะการเมืองหลายคณะได้ถีบตัวขึ้นไปแสดงบทบาทของผู้นำสุดยอดในสังคม
ในบรรดาคณะการเมืองเหล่านี้มีรวมทั้งข้าราชการและพลเรือนที่ได้รับการศึกษาจากตะวันตก
ซึ่งร่วมมือกันโค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วย ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า
คนรุ่นใหม่เหล่านี้ก่อให้เกิดมีกลุ่มผลประโยชน์อย่างใหม่ขึ้นในสังคมไทย
แต่อย่างไรก็ต้องตามผลประโยชน์ใหม่แต่ละแผนกนี้หาได้มีความแตกต่างในสถานภาพกับผลประโยชน์ของคณะบุคคลที่เขาขึ้นมาครองอำนาจแทน
อันได้แก่พระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และขุนนางเดิมแต่ประการใดไม่ โดยแท้จริงแล้ว
พระมหากษัตริย์ (ซึ่งก็ยังทรงครองตำแหน่งสูงสุดบนบันไดแห่งสถานภาพอยู่)
และแผนกผลประโยชน์ตามประเพณีที่กล่าวไปแล้วทุกแผนก
ต่างก็ยังคงร่วมกันครอบครองสถานภาพของชนชั้นที่ได้เปรียบและผนวกหรือเทียบสถานภาพเข้าได้กับสถานภาพของผู้คุมอำนาจปกครองรุ่นใหม่ซึ่งเป็นคณะบุคคลที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่สถาบันพระมหากษัตริย์
และร่วมกันเป็นชนชั้นได้เปรียบในสังคมยุคปัจจุบันนี้
นับตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระจอมกล้าเจ้าอยู่หัว
( ค.ศ. 1858—1910 ) เป็นต้นมาการเกณฑ์แรงงานประชาชนได้ถูกยกเลิกหมดสิ้นไปและในรัชกาลของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระมหากษัตริย์ทรงประกาศเลิกทาส
ปฏิบัติการทั้งสองประการนี่ของราชบัลลังก์ไทยในศตวรรษที่ 19 ทำให้ชาวนาไทยได้รับอิสรภาพอย่างมาก
ในปัจจุบันกสิกรไทยเป็นราษฏรเสรีผู้เสียภาษีอากรและเช่นเดียวกันกับชาวไทยที่มีร่างกายสมบูรณ์ทั้งหลาย
กสิกรมีหน้าที่ต่อรัฐตามพระราชบัญญัติการเกณฑ์ทหาร กระนั้นก็ดี
ตามแนวทางวิเคราะห์ชนชั้นร่วมของเรา
ระบบสูงต่ำของสถานภาพขั้นมูลฐานซึ่งประกอบด้วยชนชั้นร่วมที่ได้เปรียบและชนชั้นร่วมที่ไม่ได้เปรียบยังคงสภาพ
และทำหน้าที่อยู่เช่นเดิม การแบ่งทางสถานภาพระหว่างกลุ่มร่วมขั้นมูลฐานทั้งสองกลุ่มในประเทศไทยสมัยปัจจุบันนี้
ศาสตราจารย์ไมเคิล มอร์แมน (Michael Moerman) ได้ให้ข้อสังเกตไว้อย่างชัดเจนในรายงานการศึกษาชุมชนชาวนาไทยในภาคเหนือ
ศาสตราจารย์มอร์แมนเขียนว่า :
.
. . . ข้าราชการแต่งเครื่องแบบสีกากีตามแบบตะวันตกไปปราศรัยกับชาวบ้านซึ่งแต่งตัวแบบพื้นเมือง
นุ่งกางเกงขาก๊วยกว้าง ข้าราชการปราศรัยเป็นภาษาไทยกลาง
ซึ่งชาวบ้านส่วนมากฟังไม่ใคร่เข้าใจ
และแต่ละคนก็พูดได้เพียงเล็กน้อยเมื่อปราศรัยจบข้าราชการได้รับเลี้ยงข้าจ้าวหุง
ซึ่งข้าราชการรับประทานด้วยช้อนส้อม ชาวบ้านกินข้าวนึ่ง (ข้าวเหนียว)
ด้วยมือ ความแตกต่างกันซึ่งดูเพียงผิวเผินนี้ คือ สัญลักษณ์ของความแตกต่างทางเอกลักษณ์
(identification) อย่างแท้จริง. . .
แผนกผลประโยชน์อีกแผนกหนึ่งที่จำต้องตรวจสอบอย่างจริงจังในการศึกษาการจัดลำดับทางสังคมของไทยคือ
พ่อค้า ตามประวัติศาสตร์ พ่อคาในสังคมไทยดำเนินการบทบาทของชนชั้นที่ไม่ได้เปรียบอยู่ตลอดมา
ด้วยเหตุนี้สถานภาพของพ่อค้าจึงเทียบหรือผนวกเข้ากับสถานภาพของชนชั้นร่วมที่ไม่ได้เปรียบ
ในปัจจุบันประเทศไทยมีผลประโยชน์ทางอาชีพใหม่ ๆ
เพิ่มขึ้นหลายอย่างซึ่งเกี่ยวเนื่องอยู่กับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่กำลังก่อรูปอยู่ทุกวัน
นอกจากนักธุรกิจซึ่งมีอยู่หลายระดับแล้วยังมีผู้ประกอบอาชีพแบบ “พนักงาน” (white collars) และผู้ประกอบแรงงาน (labor) อีกมาก
เพื่อที่จะเข้าใจการรวมกลุ่มสถานภาพของอาชีพเหล่านี้
เราจำต้องพิจารณาถึงปัจจัยสำคัญสองประการ ประการแรกได้แก่สมาชิกภาพของคนจีนในผลประโยชน์ของอาชีพสมัยใหม่
คือ การพาณิชย์และแรงงาน ประการที่สอง ได้แก่ สถานภาพทางสังคมของ คนไทย ซี่งเกี่ยวข้องอยู่กับอาชีพสมัยใหม่เหล่านี้
ในส่วนที่เกี่ยวกับประการแรก
เราเห็นว่าผลประโยชน์ในทางอาชีพของคนจีนก่อให้เกิดกลุ่มสถานภาพที่แยกออกต่างหาก
จากระบบสถานภาพไทยในทำนองเดียวกับที่สถานภาพของสงฆ์ในพุทธศาสนาแยกตัวออกต่างหากเมื่อเปรียบกับการประเมินสถานภาพทางฝ่ายฆราวาสของไทย
ความแตกต่างระหว่างพระสงฆ์กับคนจีน
เมื่อพิจารณาจากแง่ของโครงสร้างชนชั้นร่วมของสังคมไทยก็มีอยู่แต่เพียงว่า
กฏเกณฑ์ในการประเมินสถานภาพของคนจีนในสังคมไทย คือ ความเป็นจีน
และกฏเกณฑ์ในการประเมินสถานภาพของสงฆ์ก็คือ ความเป็นพระภิกษุ
ในด้านที่เกี่ยวกับปัจจัยประการที่สองเราเห็นว่าสถานภาพของอาชีพทางการพาณิชย์และอาชีพแรงงานของคนไทยนั้นผนวกเข้าได้หรือเทียบเข้าได้กับสถานภาพของชนชั้นร่วม
(ฝ่ายฆราวาส) ที่มีอยู่แล้วสองชั้นอย่างสะดวกดาย
หลักฐานที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะทำให้เรายอมรับได้ว่าอาชีพแรงงานในสังคมไทยได้กำหนดตัวเองขึ้นเป็นกลุ่มสถานภาพต่างหากจากกลุ่มอื่น
ตามข้อเท็จจริงสถานภาพของคนในอาชีพนี้ผนวกเข้ากับสถานภาพชนชั้นร่วมที่มีตำแหน่งอยู่ที่เชิงบันไดหรือขั้นต่ำสุดของบันไดสถานภาพ
คือ ชาวนานั่นเอง ในทำนองเดียวกัน อาชีพพนักงานชั้นสูงและอาชีพธุรกิจอื่น ๆ
ก็ผนวกเข้าได้กับชนชั้นร่วมซึ่งอยู่ในตำแหน่งได้เปรียบเห็นได้ชัดเจนว่า
คนในอาชีพเหล่านี้มีวิถีชีวิตและค่านิยมในการบริโภคเช่นเดียวกับสมาชิกของชนชั้นร่วมที่อยู่ในระดับเบื้องบนของบันไดสถานภาพ
จึงนับว่าการวิเคราะห์ชนชั้นร่วมของเราเป็นที่สรุปลงได้
ณ ที่นี้ เป็นการแน่นอนว่าระบบการจัดลำดับสังคมไทยเช่นเดียวกับระบบของจีน
เป็นระบบที่อำนวยให้มีการเคลื่อนไหวของเอกชน
และไม่ส่งเสริมให้การเคลื่อนไหวของกลุ่มเกิดขึ้นได้การเคลื่อนไหวของเอกชนอย่างที่เราได้แสดงให้เห็นแล้วเปิดโอกาสให้เอกชนและ/หรือครอบครัวของเอกชนเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในสังคมได้อยู่ตลอดเวลา
ตัวอย่างอุดมคติของการเคลื่อนไหวประเภทนี้ได้แก่
การที่บุคคลที่เป็นชายเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ซึ่งทำให้เขาเปลี่ยนสถานภาพของเขาเองเป็นรายบุคคล
แต่ว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมจะเกิดขึ้นได้ก็เฉพาะแต่ภายในกรอบแห่งโครงสร้างของระบบการจัดลำดับของสถานภาพ
การเคลื่อนไหวเช่นนี้มิได้ทำให้โครงสร้างของสังคมเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด
เนื่องจากระบบสังคมไทยมีการเคลื่อนไหวประเภทนี้
ระบบสังคมไทยจึงมิได้ผลิตชนชั้นร่วมอาชีพพาณิชย์และมิได้เปลี่ยนโครงสร้างสังคมจนถึงสมัยปัจจุบัน
เพราะว่าการเปลี่ยนโครงสร้างสังคมหรือการเปลี่ยนแปลงเป็นคุณภาพนั้นไม่เกิดมีขึ้น (และไม่อาจเกิดขึ้นได้)
ในระบบการจัดลำดับสังคมไทย
เราจึงยืนยันว่าถ้าหากจะมีการพัฒนาทางอุตสาหกรรมขึ้นได้ในสังคมไทย
การพัฒนานั้นจะต้องเกิดขึ้นภายในเนื้อหาหรือภายในตัวโครงสร้างชนชั้นที่มีอยู่แล้วแต่เดิมเท่านั้น
และก่อนที่การพัฒนาตามวิถีทางนี้จะมีขึ้นได้
ชนชั้นร่วมที่มีอยู่ในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นที่ได้เปรียบจะต้องมีความผูกพันทางทัศนคติแบบที่ต้องการให้มีการพัฒนาและอนุมัติ
ให้มีการพัฒนาขึ้น
ในจีนคอมมิวนิสต์
การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น (หรืออาจจะขึ้น) ภายในกรอบของโครงสร้างของระบบสูงต่ำแห่งสถานภาพและระบบอำนาจ
ซึ่งมีมาแล้วแต่ดั้งเดิมในประวัติศาสตร์ ถ้าการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากความผูกพันทางทัศนคติ
(ไม่ว่าจะเนื่องมาจากการถูกบีบบังคับหรือโดยอาสาสมัครก็ตาม)
ของชนชั้นร่วมที่อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบ
และมิใช่เป็นผลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับจีนคอมมิวนิสต์ การพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศจีนคณะชาติก็ดูจะเริ่มตั้งหลักได้แล้วเช่นกัน
แต่ก็คล้ายคลึงกับสถานการณ์บนผืนแผ่นดินใหญ่
การพัฒนาเศรษฐกิจในจีนซึ่งดูเหมือนว่ากำลังเกิดขึ้นนี้
เห็นได้ว่าเป็นผลเนื่องมาจากความผูกพันทางทัศนคติของชนชั้นร่วม
ซึ่งมีตำแหน่งและสถานภาพได้เปรียบอยู่แล้วในระบบการจัดลำดับสังคมและมิใช่เพราะมีโครงสร้างสังคมอันใหม่เกิดขึ้นมาแทนที่โครงสร้างเก่าแต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น