ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน
หมายเหตุ: ส่วนหนึ่งของบทความถอดความมาจากสารนิพนธ์ของ
ศาสตราจารย์รามากฤษณา มุเคอร์จี นายาสมาคมสังคมวิทยาแห่งประเทศอินเดีย Systematization
of Value – load of Social Development ซึ่งเสนอต่อชุมนุมทางวิชาการสังคมวิทยา
ว่าด้วยการพัฒนาทางสังคมในเอเชีย ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๑๖ – ๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๖
๑.
เป็นที่เข้าใจกันว่า ความหมายอันหนึ่งของประชาธิปไตยที่คนไทยจำนวนมากร่วมกันต่อสู้และหวังกันว่าจะได้มาในเร็ววันนี้
คือโอกาสและเสรีภาพที่จะเสนอหลักและวิธีดำเนินการในทางการเมืองเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
และนำสังคมของเราไปสู่อนาคตที่แจ่มใสกว่าและดีกว่า
โอกาสและเสรีภาพที่จะเสนอหลักและวิธีดำเนินการในทางการเมือง
เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และนำสังคมของเราไปสู่อนาคตที่แจ่มใสกว่าและดีกว่า
โอกาสและเสรีภาพที่ว่านี้คือ โอกาสและเสรีภาพที่จะรวมพลังเป็นพรรคการเมือง
แล้วพรรคการเมืองแต่ละพรรคก็จะเสนอแนวนโยบายของตนให้มหาชนเป็นผู้ชี้ขาดว่าเขาต้องการอะไร
กล่าวคือต้องการให้พรรคที่สัญญาว่าจะจัดการสังคมวิธีไหนและวางรากฐาน
เพื่ออนาคตแบบใดเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารโดยเป็นรัฐบาล
ที่ผ่านมาแล้ว
คนไทยเราแทบจะไม่มีโอกาสได้ทราบแนวความคิดและข้อเสนอของคนหรือกลุ่มบุคคลที่อยู่นอกวงการของรัฐบาลเผด็จการเลยหลักวิธีและจุดหมายของการดำเนินการทางการเมืองที่เราต้องรับฟัง
และไม่มีสิทธิโต้แย้งแต่อย่างใด
ก็คือหลักวิธีและจุดมุ่งหมายในทางการเมืองที่ผู้เผด็จการบีบบังคับให้แก่เราเท่านั้น
ในสภาพสังคมอย่างนั้น ผู้มีอภิสิทธิ์ที่ทำอะไรก็ได้
แล้วคนอื่นที่จำต้องถือว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งถูกสิ่งดีอยู่ตลอดเวลาก็มีอยู่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น
คือกลุ่มคนที่ใช้อำนาจกดขี่ผู้อื่นอยู่โดยทุกวิถีทาง
ถ้าจะว่าไปกลุ่มผู้เผด็จการก็คือพรรคการเมืองเดี่ยวหรือพรรคผูกขาดที่ไม่มีใครจะคัดค้านหรือทักท้วงได้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือด้วยประชามติก็ตาม
ความคับแค้นของมหาชนต่อการขาดสิทธิเสรีภาพและโอกาสที่จะเลือกวิถีทางอนาคตแบบที่ตัวต้องการเป็นสิ่งที่มหาชนไม่ได้เก็บไว้แต่ในใจของคนแต่ละคน
มหาชนมีการแสดงออกซึ่งการต่อต้านสภาพสังคมที่กดขี่ในรูปต่าง ๆ ในด้านนักศึกษา
การปฏิวัติเดือนตุลาคม ๒๕๑๖
มิใช่อุบัติเหตุหรือไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีพื้นฐานแต่เป็นจุดสำคัญอีกจุดหนึ่งของการดิ้นรนเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ได้ก่อตัวขึ้นมาตามธรรมชาติ
เพราะความไม่พอในในสภาพที่เป็นอยู่
นอกจากนักศึกษาและประชาชนส่วนอื่น
ๆ ในชุมชนนาคร
มหาชนในชนบทก็ได้แสดงออกทั้งโดยการรวมกลุ่มเพื่อต่อต้านทางการเมืองและทางอาวุธเช่นในนามของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นต้น
ที่มิได้รวมกลุ่มก็แสดงออกในฐานะเอกชนคือการเคลื่อนย้ายที่อยู่และละทิ้งอาชีพเดิมไปหาอาชีพใหม่ทั้งที่ถูกกฎหมายและศีลธรรมและที่ไม่ถูก
๒.
ทั้งผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์
และนิสิต นักศึกษาต่างก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับอำนาจเผด็จการอย่างผิดกฎหมาย
ศูนย์นิสิตนักศึกษาเคยถูกผู้เผด็จการโจมตีว่าเป็นกิจกรรมเถื่อน
เช่นเดียวกับกิจกรรมของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เห็นได้ว่าทั้งสองกลุ่มมีลักษณะร่วมกันอยู่บางอย่าง
คือ
ต่างก็มีองค์กรและกลไกในการดำเนินงานเพื่อโค่นล้มอำนาจเผด็จการของรัฐบาลไทยชุดก่อน
๑๔ ตุลาคม และต่างก็มีการเคลื่อนไหวในด้านแสวงหาความนิยม ด้านขยายอิทธิพลในหมู่ประชาชน
และด้านบั่นทอนความมั่นคงของรัฐบาลเผด็จการ ที่ต่างกันก็คือขบวนการนิสิตนักศึกษาเป็นขบวนการที่เกิดขึ้น
และเติบโตในเมืองใหญ่และดำเนินการได้อย่างเปิดเผยพอควร
ฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์มีอาณาเขตการทำงานส่วนใหญ่อยู่ในชนบทโดยไม่มีการเผยตัวผู้นำ
และที่สำคัญก็คือนิสิตนักศึกษาไม่เคยต่อสู้ด้วยอาวุธ แต่ใช้วิธีประท้วงและเรียกร้อง
คือใช้อำนาจที่มาจากจำนวนคนมากกว่ากำลังคน
แต่คอมมิวนิสต์ใช้อาวุธเป็นเครื่องมืออยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้จะมีกลวิธีอย่างอื่นอยู่ด้วยก็ตามที
รัฐบาลเผด็จการที่หมดอำนาจไปแล้วยืนยันอยู่ตลอดเวลา
ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมีต่างชาติสนับสนุนและมีผู้นำอยู่ในต่างประเทศ
ในทำนองเดียวกัน รัฐบาลชุดนั้นก็โจมตีนิสิตนักศึกษาว่าได้รับอิทธิพลมาจากภายนอก
หรือมีผู้ร่วมมืออยู่นอกประเทศ
การที่ประชาชนไทยอย่างเช่นนิสิตนักศึกษาและคอมมิวนิสต์ถูกกีดกันไม่ได้ให้มีส่วนร่วมในทางการเมือง
และไม่มีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงออกโดยถูกต้องตามกติกาซึ่งแนวความคิดและเจตนารมณ์ของตนนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนทั้งกลุ่มนี้
ต้องใช้วิธีรุนแรงเพื่อให้คนที่เป็นสมาชิกในสังคมโดยส่วนรวม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ควบคุมอำนาจในรัฐ ได้ทราบถึงความต้องการของตน
การที่นิสิตนักศึกษาได้รับความต้องการของตน การที่นิสิตนักศึกษาได้รับความสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากนักเรียน
และประชาชนทั่วไปในกลางเดือนตุลาคม ก็นับได้ว่าแนวความคิดและเจตนารมณ์
ในทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาเป็นสิ่งที่ประชาชนเหล่านั้นเห็นชอบด้วยในด้านพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงเป็นพรรคเถื่อนหรือพรรคที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายอยู่
การที่มีคนไทยทั้งในชนบทและในกรุงพากันให้ความสนับสนุนอยู่
ถึงแม้อาจจะเป็นเพียงคนจำนวนน้อยก็กล่าวได้ว่าผู้สนับสนุนเหล่านั้นมีความนิยมและเห็นด้วยกับแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์
ตราบใดที่คอมมิวนิสต์ยังเป็นบุคคลหรือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอยู่
ผู้สนับสนุนคอมมิวนิสต์ก็จำต้องสนับสนุนด้วยวิธีการนอกกฎหมายซึ่งย่อมรวมไปถึงการใช้วิธีรุนแรงด้วย
๓.
ถ้าการเป็นประชาธิปไตยจะมีความหมายด้วยว่า
ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพบริบูรณ์ที่จะเชื่อจะกระทำ
หรือจะเลือกแนวนโยบายทางการเมืองใด ๆ ที่คนแต่ละคนเห็นดีหรือเห็นชอบด้วยก็น่าจะเป็นของแน่นอนว่าประชาชนคนไทยตั้งเกือบ
๔๐ ล้านคนจะต้องมีความคิดความเห็นแตกต่างกันอย่างมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสิทธิเสรีภาพขั้นมูลฐานนี้มีหลักประกันอยู่ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ประชาชนคงจะเต็มใจแสดงออกอย่างไม่ปิดบัง
การแสดงออกนี้คงจะเป็นไปในทางรวมบุคคลขึ้นเป็นพรรคการเมือง
และโดยให้ความสนับสนุนพรรคการเมืองแต่ละพรรค
เมื่อเป็นดังนี้ประชาชนทั่วไปก็จะมีโอกาสทราบแนวความคิดวิธีดำเนินการและจุดหมายของพรรคแต่ละพรรคแล้วแต่ละพรรคก็คงจะ
หรือน่าจะสร้างลักษณะสำคัญเฉพาะอย่างเป็นของตัวเองให้มีอะไรแน่นอนพอควรไว้เสนอต่อประชาชนเพื่อพิจารณาสนับสนุนหรือคัดค้าน
เพราะระบบพรรคการเมืองยังไม่เจริญในประเทศไทย
คนไทยจึงมีประสบการณ์น้อยในเรื่องการชิงชัยอย่างโจ่งแจ้งของพรรค
ที่คนไทยเคยเห็นหรือเคยมีส่วนร่วมมาบ้างแล้วนั้นก็เป็นเพียงการต่อสู้กันในวงจำกัด
และส่วนมากพรรคที่เป็นรัฐบาลอยู่ก็ใช้อิทธิพลของตัวเข้าบังคับหรือชักจูงใจให้ทั้งทหารตำรวจและข้าราชการพลเรือนแม้แต่นักเลงนอกราชการเอาเปรียบพรรคอื่นอย่างยุติธรรม
จึงกล่าวได้ว่าการรณรงค์ระหว่างพรรคการเมืองของไทย
แทบจะไม่เคยเป็นไปในแบบที่ประชาชนส่วนใหญ่มีโอกาสแสดงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของตนเลย
ยิ่งกว่านั้น พรรคการเมืองที่เคยมีก็แทบจะมิได้เสนอแนวทางการบริหารและการเปลี่ยนแปลงสังคมในขั้นมูลฐานแต่อย่างใด
ทั้งพรรครัฐบาลฝ่ายค้านมักจะฝักใฝ่อยู่เฉพาะประเด็นของความขี้โกงของคนในพรรคอื่นโดยมิได้ให้ความสนใจหรือแสดงว่ามีความเข้าใจต่อเนื้อแท้หรือสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาคดโกง
และรวบอำนาจเหล่านั้น
แต่ละพรรคที่เคยมีมาจึงดูจะมีลักษณะเหมือนกันเสียมากกว่าต่างกัน
คือส่วนใหญ่เน้นเรื่องการเปลี่ยนตัวบุคคล
หรือเปลี่ยนพรรคแต่มิได้เสนอให้แก้ไขโครงสร้างของสังคมโดยส่วนรวมแต่อย่างใด
ความไม่แตกต่างกันของพรรคการเมืองนั้นไม่ใช่มีแต่เฉพาะในเมืองไทย
ในประเทศอื่นหลายประเทศที่มีพรรคการเมืองหลายพรรค เช่น
ญี่ปุ่นและอินเดียซึ่งต่างก็มีพรรคอยู่ประเทศละห้าพรรค
พรรคการเมืองบางพรรคแทบจะเหมือนกันทั้งในด้านนโยบายและเป้าหมายทางการเมือง
ในอเมริกาพรรคเดโมแครดกับรีพับพลิกันซึ่งผลัดกันเข้าครองอำนาจบริหารต่างก็เป็นพรรคนายทุน
ซึ่งได้รับความสนับสนุนจากวงการธุรกิจ
เพราะฉะนั้นจึงตกอยู่ใต้อิทธิพลของบรรษัทการเงิน และอุตสาหกรรมเหมือน ๆ กัน
ขณะเดียวกันวงการกรรมกรของเมริกาก็พยายามส่งอิทธิพลต่อพรรคที่เป็นรัฐบาลทั้งในทางการเงินและทางการเมือง
ทั้งสองพรรคนี้มีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การักษาระบบเศรษฐกิจเอกชนซึ่งแท้ที่จริงมีการผูกขาดกันอย่างกว้างขวาง
แนวนโยบายต่างประเทศก็ไม่มีอะไรต่างกัน
เพราะต่างก็ต้องการธำรงความเป็นมหาอำนาจของอเมริกาในทางทหาร
และไม่ปรากฏว่าพรรคหนึ่งพรรคใดเคยแสดงความจริงจังต่อการให้อเมริกาเลิกไปวุ่นอยู่กับเรื่องของประเทศอื่น
ๆ ทั่วโลก จนคนโจมตีกันตลอดมาว่าอเมริกาเป็นจักรวรรดินิยมทั้งทางทหารและเศรษฐกิจ
การพิจารณาความจริงเกี่ยวกับพรรคแต่ละพรรคจะมองจากชื่อพรรคเท่านั้นก็ไม่ได้
เช่น พรรคสังคมนิยมในบางประเทศอาจจะเป็นพรรคที่สนับสนุนโครงสร้างเศรษฐกิจแบบทุนนิยมก็ได้
แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์อย่างในฝรั่งเศสและญี่ปุ่นก็ปรากฏว่ามีแนวโน้มไปในทางอนุรักษนิยมมากกว่าทางการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมอย่างแท้จริง
พรรคกรรมกรในอังกฤษก็ปรากฏว่ามีแต่คนชั้นสูงเป็นผู้นำ
ด้วยเหตุนี้พรรคการเมืองใดจะมีอะไรเสนอและมีความมุ่งมั่นต่ออะไรอย่างแท้จริงจึงเป็นเรื่องที่ประชาชนจะต้องติดตามสอดส่องอยู่อย่างใกล้ชิด
และต้องพิจารณาประเด็นในทางการเมืองเป็นประเด็น ๆ ไป
๔.
ในโอกาสที่เมืองไทยเราจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และมีความหวังกันว่าจะมีการเลือกตั้ง
และมีการก่อตังพรรคการเมืองขึ้นหลายพรรคโดยมีเสรีภาพที่จะกำหนดแนวทางต่าง ๆ
ให้ประชาชนพิจารณา
ผู้เขียนขอเสนอตัวอย่างของพรรคการเมืองทั้งห้าพรรคในประเทศอินเดีย
ที่เลือกเล่าเรื่องพรรคการเมืองอินเดีย
ก็โดยที่อินเดียเป็นประเทศเอเชียที่ยังล้าหลังเช่นเดียวกับไทย แต่ถึงแม้อินเดียจะมีปัญหาพิเศษในทางประชากรและในทางประเพณีการจัดวรรณะ
โดยถือชาติกำเนิดเป็นเกณฑ์ ทั้งประชาชนก็ยากจนเป็นส่วนมาก
และยังพูดภาษาแตกต่างกันนับร้อยภาษาแต่การเมือง
และการปกครองของอินเดียไม่เคยถูกผู้เผด็จการทหารเข้าควบคุมเลย
นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากนักล่าอาณานิคมอังกฤษเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา
รัฐบาลทุกชุดของอินเดียเป็นรัฐบาลพลเรือน แม้ว่าพรรคคองเกรสจะคุมอำนาจตลอดมา
แต่นายกรัฐมนตรีของอินเดียทุกคนซึ่งเป็นสมาชิกพรรคนี้ก็เข้าสู่ตำแหน่งเพราะสมาชิกโลกสภา
(รัฐสภาอินเดีย) ซึ่งราษฎรเลือกให้เข้าไปเป็นผู้แทนยังสนับสนุนอยู่
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพรรคการเมืองของประเทศอินเดียข้างล่างนี้น่าจะเป็นประโยชน์อยู่บ้างแก่คนไทยในระหว่างที่เรากำลังช่วยกันสร้างประชาธิปไตยในสังคมเราอยู่ทุกวันนี้
ก.เป้าหมาย
พรรคภราตีย์
ชนะสังข์ (ช.ส.)
ยอมรับความเหลื่อมล้ำระหว่างส่วนต่าง
ๆ
ของสังคมและในการดำรงชีวิตของประชาชน
แต่ในขณะเดียวกันก็แสวงหาหนทาง หรือปัจจัยที่จะก่อให้เกิดความสามัคคี
แนวคิดเรื่องความขัดแย้งระหว่างชนชั้นจะมาขัดขวางการร่วมมือกันอย่างถาวรของประชานไม่ได้
2.
พรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดีย – พรรครัฐบาล (พ.ค.ช.อ.)
พรรคคองเกรสปฏิญาณอีกครั้งหนึ่งที่จะนำการปฏิวัติแบบสังคมนิยมโดยสันติและประชาธิปไตย
จะอุ้มปวงชนทั้งผอง และจะเข้าร่วมกับวิถีชีวิตของประชาติในทุกด้าน
3.
พรรคสังคมนิยม (พ.ส.)
พรรคสังคมนิยมเชื่อว่า
การที่จะบรรลุเป้าหมายทางสังคมนิยมด้วยสันติวิธี และตามครรลองประชาธิปไตยนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่จะทำได้แต่อย่างเดียว
หากยังเป็นสิ่งที่น่าทำด้วย พรรคสังคมนิยมปฏิญาณอย่างจริงจัง
ว่าจะขจัดความเหลื่อมล้ำทั้งหลายทางสังคมและเศรษฐกิจ และจะก้าวไปสู่สังคมที่เป็นสังคมนิยมซึ่งหมายถึงสังคมที่สิทธิและเสรีภาพของสามัญชนทุกคนจะต้องได้รับการพิทักษ์คุ้มครองและประชาชนส่วนที่เสียเปรียบจะได้รับการปลดปล่อยจากการกดขี่ทางสังคม
และการขูดรีดทางเศรษฐกิจของทรราชย์เก่าแก่ของสังคม
๔.
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศอินเดีย (พ.ค.อ.)
ล้มการปกครองโดยพรรคคองเกรสหรือโดยรัฐบาลศักดินาชุดอื่น
ๆ แล้วสถาปนารัฐบาลซึ่งประกอบด้วยชนชั้นและพลังที่ต่อต้านจักรวรรดินิยม
ศักดินานิยมและทุนนิยมผูกขาด
และมุ่งมาตรที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติเพื่อทบทวนกระแสธารแห่งการพัฒนาระบบนายทุน
๕
พรรคคอมมิวนิสต์-มาร์กซิสต์แห่งประเทศอินเดีย (พ.ค.ม.อ.)
จัดการสถาปนาประชาธิปไตยของประชาชนขึ้นบนพื้นฐานของการรวมพลังที่แท้จริงที่ต่อต้านศักดินาและจักรวรรดินิยม
และโดยการนำของชนชั้นกรรมาชีพ
ข.แนวดำเนินการ
๑.
พรรคราตีย์ ชนะสังห์ (ช.ส.)
มนุษยสามัคคีธรรม: ปัจเจกชนครองตำแหน่งสุดยอดในระบบของเรา
ปัจเจกชนย่อมมีศักยภาพที่จะอยู่ร่วมกับปัจเจกชนคนอื่นหมู่มาก
รวมทั้งคณะบุคคลทั้งหลายด้วย
๒
พรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดีย (พ.ค.ช.อ.)
ประชาชนมีอำนาจที่จะปฏิเสธฝ่ายปฏิกิริยาและฝ่ายเล่นพวกด้านขวาจัดที่หันเข้าหาวิธีรุนแรงเพื่อก่อกวน
และพยายามทำลายพลังแห่งความก้าวหน้า แล้วอ่างว่าตัวเองเป็นพวกฝ่ายซ้าย
๓.
พรรคสังคมนิยม (พ.ส.)
สังคมนิยมคือการยุติการปกครองของชนชั้น
และการสถาปนาสังคมที่เสมอภาคและเสรี
แต่ทว่าสังคมที่มีชนชั้นทุกแห่งในประวัติศาสตร์มักจะมีแนวโน้มกลายเป็นสังคมที่มีวรรณะ
วรรณะคือ ชนชั้นที่แข็งตัวแล้ว ในอินเดียการพัฒนาด้านนี้เป็นไปอย่างกว้างไกล
ระเบียบสังคมของอินเดียจึงแข็งกระด้างเป็นระบบวรรณะสูงต่ำ การดิ้นรน
จะต้องเป็นไปอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อทำลายระบบวรรณะ
เพื่อที่จะทำให้สังคมของเราเคลื่อนตัวแล้วเราก็จะได้รับความเสมอภาคในที่สุด
๔.
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศอินเดีย (พ.ค.อ.)
เปิดทางพัฒนาให้แก่ประชาชนของเรา
การพัฒนาหมายถึงการพัฒนาแบบที่ไม่ใช่ทุนนิยมในการพัฒนาแบบนี้
ชนชั้นที่จะสนใจกระทำการได้แก่ หนึ่ง
ชนชั้นกรรมาชีพซึ่งเป็นชนชั้นที่สำคัญที่สุด สอง มวลชนชาวนาอันไพศาล
รวมทั้งชาวนาผู้มีฐานะ ( นายทุนน้อย ) และแรงงานเกษตร สาม
ปัญญาชนในนาครและชนบทซึ่งเติบโตขึ้นทุกวัน สี่ กฏุมภี ( หรือนายทุน )
ชาติแต่ไม่รวมพวกผูกขาด
พวกที่สี่นี้สนใจที่จะหาทางสัมฤทธิ์ผลในงานหลักคืองานปฏิวัติเพื่อล้มล้างจักรวรรดินิยมและศักดินานิยม
๕.
พรรคคอมมิวนิสต์-มาร์กซิสต์แห่งประเทศอินเดีย (พ.ค.ม.อ.)
จุดประสงค์ขั้นแรกกำหนดไว้อย่างแน่นอนว่า
คือ การล้มล้างรัฐและรัฐบาลปัจจุบันของกฎุมภีเศรษฐีที่ดิน
แล้วให้มีประชาธิปไตยและรัฐบาลของประชาชนซึ่งนำโดยชนชั้นกรรมาชีพบนพื้นฐานของการเป็นพันธมิตรอย่างแน่นแฟ้นระหว่างกรรมกรกับชาวนา
ค.
การให้ความสำคัญก่อน-หลัง
๖.
พรรคภราตีย์ ชนสังห์ (ช.ส.)
๑.
จัดตั้งอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศ
๒. เพิ่มผลิตทางเกษตร และถือว่าชาวนาเป็น “ผู้ที่เสี่ยงภัย ผู้ที่ลงทั้งทุนและแรงงานและเป็นผู้ทำงานทั้งปวง” ๓. ขยายอุตสาหกรรมที่ต้องจ้างแรงงานมาก
เพื่อผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นจริง ๆ ๔.
จัดตั้งสาธารณูปการและอุตสาหกรรมพื้นฐาน
แต่จะไม่ให้รัฐเป็นเจ้าของและควบคุมปัจจัยการผลิตทั้งหมดเพราะรัฐจะควบคุมอำนาจทั้งเศรษฐกิจและการเมืองทุกอย่างไว้ในส่วนกลาง
เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะป้องกันการผูกขาดตัดตอน และการรวบอำนาจไว้กับส่วนกลาง
การโอนกิจการทุกอย่างให้แก่รัฐไม่ช่วยให้ทุนเพิ่มขึ้น
มันเป็นแต่เพียงการย้ายกรรมสิทธิ์และควบคุมเท่านั้น การที่ทุนภายในของเราไม่พอ
เราอาจจะแก้ไขเป็นบางส่วนโดยอาศัยทุนต่างประเทศ
๗.
พรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดีย – พรรครัฐบาล (พ.ค.ช.อ.)
ในประการแรก
เราต้องขจัดความไร้สมรรถภาพทุกอย่างในระบบเศรษฐกิจของเราความไร้สมรรถภาพ
เหล่านี้เป็นผลมาจากความเฉื่อยชาของส่วนสำคัญบางส่วนของระบบนั้นเอง
ข้อที่สองเราจำต้องวางโครงสร้างการผลิตของเราโดยเน้นด้านเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นจริงๆ
รวมทั้งผลิตสินค้าที่เป็นการลงทุนเพื่อที่เราจะได้ขยายประมาณงานของประชากร
และเตรียมป้องกันประเทศไปพร้อมๆกัน
การปฏิรูปที่ดินเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะนำเราไปสู่ความมีสมรรถภาพในทางกสิกรรมและการเพิ่มพูนความเสมอภาคในท้องที่ชนบท
การจำกัดปริมาณที่ดินควรกำหนดโดยหน่วยครอบครัว
การทำงานของระบบเศรษฐกิจไม่ควรเป็นไปในทางที่จะทำให้เกิดการรวบความมั่นคงหรือการรวมทรัพย์ไว้
ณ ส่วนกลาง เพราะจะทำให้มหาชนต้องเสียหาย
รัฐจะดำเนินการเฉพาะในกิจกรรมที่สำคัญต่อส่วนรวมเท่านั้น
๓.
พรรคสังคมนิยม (พ.ส.)
หลายอำนาจ การรวบอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจไว้กับส่วนกลาง
เป็นการยื้อแย่งอำนาจของมหาชน ต่อต้านการพัฒนาจอมปลอม คนเพียง ๗๕
ตระกูล เท่านั้นผูกขาดความร่ำรวยและคุมอำนาจทางเศรษฐกิจอยู่ คืนที่ดินให้แก่ผู้ไร้สมบัติ
ที่ดินที่ไม่ได้ทำประโยชน์จะต้องนำมาให้ชาวนาที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองเพราะปลูกและจะให้โอกาสแก่ผู้เสียเปรียบก่อนคนอื่น
เช่น ชาวฮาริจันและอัตราสี เป็นต้น ให้คนไร้งานมีงานทำ
จะต้องเน้นในการสร้างอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมากทั้งในชนบทและในเมือง เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเป็นแบบสังคมนิยมปัญหาเศรษฐกิจของเราจะไม่มีวันแก้ไขได้
ถ้าระบบเศรษฐกิจยังคงเป็นของรัฐโดยการยึดอย่างไม่ให้ค่าตอบแทน ความเสมอภาค
เป็นค่านิยมที่ยิ่งใหญ่อยู่ตลอดเวลาของสังคมนิยม
๔.
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศอินเดีย (พ.ค.อ.)
ประการแรก และที่สำคัญที่สุด
เราจะทำลายกงเล็บแห่งการผูกขาดของนายทุนต่างชาติที่กดดันเศรษฐกิจของเรา ประการสอง
เราจะเพิ่มความแข็งแกร่งในทางอำนาจของรัฐเพื่อให้เป็นเอกราชจากการผูกขาดของนายทุนต่างชาติเพื่อให้กิจการต่าง
ๆ ดำเนินไปตามทางประชาธิปไตยและโดยการพึ่งตัวเองทางอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ ข้อที่สาม
การผูกขาดของคนอินเดียด้วยกันเองที่ตลบเอาพลังทางอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ
การค้าและการธนาคารเข้าไว้ในมือคนเพียงส่วนน้อยจะต้องถูกตีให้แตกหัก และเราป้องกันแนวโน้มใด
ๆ ที่จะทำให้คนส่วนน้อยผูกขาดได้อีก ข้อที่สี่
อำนาจของเจ้าของที่ดินและเดนศักดินาจะถูกขจัดโดยสิ้นเชิง
เราจะจัดการปฏิรูปทางเกษตรอย่างไม่รักษาของเก่าเพื่อให้ประโยชน์แก่ชาวนา
เราจะล้มล้างกงเล็บของนายทุนการค้าธ นาคารผู้เอารัดเอาเปรียบ
๕.
พรรคคอมมิวนิสต์ – มาร์กซิสต์แห่งประเทศอินเดีย (พ.ค.ม.อ.)
การปฏิวัติประชาธิปไตยของประชาชนซึ่งต่อต้านศักดินานิยม
และจักรวรรดินิยม
จำต้องถือเป็นหลักการว่าจะแก้ไขปัญหาที่ดินโดยเด็ดขาดเพื่อประโยชน์ของชาวนา
และเพื่อขจัดซากเดนของศักดินาและกึ่งศักดินา ที่ควบคุมพลังการผลิตด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมของเราอยู่
เราจำต้องดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อปฏิรูปสังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่แรงเฉื่อยทางวรรณะและแรงเฉื่อยอื่น
ๆ บีบคั้นชาวบ้านให้จมปรักอยู่ในความด้อยพัฒนาชั่วกัปชั่วกัลป์
แรงเฉื่อยเหล่านี้เป็นเนื้อแท้ของระบบที่มีอยู่ก่อนจะเกิดทุนนิยม
การดำเนินมาตรการดังกล่าวนี้จะต้องเกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับการปฏิวัติประชาธิปไตย
งานรีบด่วนขั้นที่สองของเราคือการขจัดและไล่นายทุนต่างประเทศที่บีบรัดเศรษฐกิจของเราอยู่ให้ออกไปให้สิ้นเมื่อเราทำสำเร็จ
เราจะปลดปล่อยประชาชนของเราออกจากอิทธิพลทั้งหมดที่มีต่อชีวิตทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคมของเรา
งานสองอย่างขั้นมูลฐานนี้ เราจำต้องปฏิวัติให้สำเร็จเพื่อประชาธิปไตย
มาตรการอีกประการหนึ่งที่ต้องทำคือการถล่มอำนาจผูกขาดของนายทุนภายในประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น