วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทความ: ว่าด้วยชนกลุ่มน้อย ใครทำให้คนจีนเป็น “ปัญหา” ในสังคมไทย


ดร.บุญสนอง บุญโยทยาน
จากวารสารรายปักษ์ ศูนย์ ปักษ์หลัง ฉบับที่ 5 มีนาคม 2517


ในบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่พิมพ์หลังเหตุการณ์วันที่ ๑๔ ตุลาคมไม่นาน ผู้เขียนกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่ารัฐบาลไทยชุดก่อน ๑๔ ตุลา พยายามสร้างเอกภาพในหมู่ ประชาชนโดยให้ถือการปฏิบัติตามรัฐบาลเป็นเรื่องสำคัญ แต่ภายหลังวัน ๑๔ ตุลา ประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่มีความไม่เหมือนหรือไม่เสมอกันในด้านภูมิหลังทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและการเมือง ต่างแสดงออกอย่างรวดเร็วและโจ่งแจ้งถึงความไม่เท่าเทียม หรือความขัดแย้งซึ่งเขามีอยู่แล้วตามปรกติ ผู้เขียนบทบรรณาธิการบทนั้นชี้ให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำหรือความไม่เท่าเทียมกันในหมู่ประชาชน เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องยอมรับและเปิดโอกาสให้แสดงออก และได้แสดงความปรารถนาไว้ว่าเอกภาพหรือความสามัคคีของประชาชนโดยส่วนรวมน่าจะคงมีอยู่ได้ แม้แต่ในภาวะของความแตกต่างและขัดแย้งดังกล่าวแล้ว

ความคิดอันนี้เป็นความคิดของคนสมัยใหม่หรือคนรุ่นใหม่ ไทยเรามีประเพณีทั้งในการปกครอง และทางสังคม ว่าประเทศไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกมิได้ ประเพณีแม้ในปัจจุบันก็คงจะเป็นสิ่งที่คนจำนวนมากยอมรับนับถืออยู่ ถึงแม้จะมีคนบางกลุ่มบางคนอาจจะต้องการให้เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นก็ตาม โดยความเป็นจริง ความเป็นเอกภาพของประเทศไทยหาใช่จะมีขึ้นเนื่องจากคนทั้งชาติมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทุกอย่างหรือเป็นเพราะคนทุกคนมีความเป็น ไทย หรือวัฒนธรรมไทยเสมอเหมือนกันหมดหามิได้

ความสามัคคีของคนในรัฐสมัยใหม่ซึ่งจะเป็นรัฐที่มีเอกภาพและยั่งยืนต่อไปได้นั้นน่าจะหมายถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนแต่เฉพาะในด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์เท่านั้น กล่าวคือราษฎรทุกคนจะต้องได้รับความคุ้มครองและได้รับประโยชน์จากการปกครองของรัฐบาลอย่างเดียวกันและต้องปฏิบัติตามกฎหมายพื้นฐานอันเดียวกัน นอกเหนือจากนั้นผู้มีโอกาสปกครองประเทศจำต้องอนุมัติให้มีความแตกต่างในทางศาสนา วัฒนธรรมทางชาติพันธุ์อื่นๆ ได้โดยชอบธรรม และยังต้องให้ความคุ้มกัน และส่งเสริมกลุ่มทางสังคมและวัฒนธรรมแต่ละกลุ่มทางสังคมให้มีเอกลักษณ์ของตนเองและมีความเจริญงอกงามตามความยุติธรรมอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อกลุ่มที่แตกต่างกันอยู่แล้วนั้นจะได้มีความภาคภูมิมีศักดิ์ศรีมีความหยิ่งในกลุ่มของตัว มีความเสมอภาพกับกลุ่มอื่นแล้วในที่สุด และมีความเต็มใจร่วมมือกับกลุ่มอื่นๆ ในชาติเพื่อสร้างสรรค์ความมีเอกภาพของรัฐและสังคม

ในด้านวัฒนธรรมนั้นประชากรไทยไม่เคยมีความเป็นเอกภาพอย่างสมบูรณ์ มาเลยในประวัติศาสตร์ของชาติเรา ถึงแม้ชนส่วนใหญ่จะเป็นพุทธศาสนิก แต่เราก็มีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นมุสลิมในภาคใต้ มีบางส่วนที่เป็นผู้นับถือ ผี พราหมณ์ และเจ้าพ่อกระจายอยู่ทั่วประเทศทั้งในที่ราบที่ดอนและริมน้ำริมทะเล ทั้งในและชนบทนอกจากนั้นยังมีคริสต์ชนนิกายต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยเมื่อนับร้อย ๆ ปีมาแล้ว มีผู้กราบไหว้บรรพบุรุษและอาจจะมีผู้ที่มิได้นับถือหรือเลื่อมใสในศาสนาหรือไสยไม่ว่าแขนงใด ๆ อยู่อีกด้วยก็เป็นได้

ในด้านภาษา คนภาคเหนือ ภาคใต้ และตะวันออกเฉียงเหนือก็หาได้พูดภาษาไทยที่เป็นภาษาราชการไม่ ลำพังคนภาคกลางเองก็ใช่ว่าทุกคนในทุกชุมชนจะพูดภาษาไทยกลางสำเนียงเดียวกันไปหมด ยิ่งกว่านั้นในชนบทภาคกลางยังมีคนพูดภาษามอญ ภาษาลาวโซ่ง ลาวพวน รวมทั้งลาวพุงขาวและลาวพุงดำ

ด้านชาติพันธุ์ (ซึ่งหมายถึงเอกลักษณ์ทางภาษาวัฒนธรรมและประวัติการตั้งถิ่นฐานและการอพยพแบบที่มักจะทำให้โน้มเอียงเข้าใจกันกว่ามีความหมายทางชีววิทยาหรือ เชื้อชาติ) ในประเทศไทยนี้ก็มีคนหลายหมู่ หลายกลุ่มและหลายเผ่าเต็มที เช่น ญวน เขมร ลาว มอญ กะเหรี่ยง ชาวเขาสามสิบกว่าเผ่า มาเลย์และจีน เป็นต้น

เพียงการสาธยายรับแล้วว่า เอกภาพของชาติไทยการธำรงไว้ซึ่งการเป็นรัฐเดียวเท่านั้น ส่วนในทางสังคมวิทยาเอกภาพหาใช่สิ่งที่จะมีขึ้นได้โดยอัตโนมัติเพียงแต่การออกกฎหมายบังคับหรือการกำหนดนโยบายเพื่อโน้มน้าวให้คนมีลักษณะเหมือนกันหรือมีวัฒนธรรมอันเดียวกันอย่างง่าย ๆ แต่อย่างใดไม่ในบทความขนาดสั้นนี้ขอให้เราพิจารณาเฉพาะกรณีของคนจีนดูอย่างกว้าง ๆ

ความจริงที่ว่าในประเทศไทยมีคนจีนอยู่ถึงสามล้านคนเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ ในหมู่คนจีนทั้งสามล้านนี้ตามกฎหมายก็มีอยู่เพียงสี่แสนกว่าคนเท่านั้นที่เป็นต่างด้าว นอกนั้นเป็นคนสัญชาติไทยทั้งสิ้น เมื่อพิจารณาจากแง่กฎหมายและการปกครอง คนทุกคนที่ถือสัญชาติไทยจะต้องได้รับความคุ้มครองและสิทธิเสรีภาพอย่างเดียวกันโดยไม่มีข้อยกเว้น แต่ที่เป็นจริงมีคนจีนจำนวนไม่น้อย แม้ว่าจะเป็นคนเกิดในประเทศไทยและไม่เคยไปเมืองจีนเลยบางที่ภาษาจีนก็พูดไม่ได้ขนบธรรมเนียมประเพณีจีนก็ไม่ปฏิบัติศาสนาจีน ก็ไม่ถือแม้แต่ชื่อและนามสกุลก็เป็นภาษาไทยแต่เขาก็มีลักษณะพิเศษกล่าวคือ เขายังได้ชื่อว่าเป็นคนจีน เขาไม่อาจเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนนายทหารหรือนายตำรวจ ไม่มีสิทธิ์ซื้อที่ดินและขาดโอกาสดีอื่น ๆ อีกหลายประการทั้งนี้ เพราะบิดาของเขาเป็นคนต่างด้าว

ความลำเอียงที่มีอยู่มิใช่เป็นการลำเอียงตามกฎหมายหรือโดยระบบการปกครองเสมอไปแต่เป็นการลำเอียงทางสังคมคือ ทางความคิดและการกระทำอย่างแน่ชัด คนที่เป็นเชื้อสายจีนนั้นแม้เมื่อได้ถือสัญชาติไทยโดยกำเนิดหรือการโอนสัญชาติแล้วก็ตาม ลักษณะชื่อสกุลไทยที่ข้าราชการอนุญาตให้เขาใช้ก็เป็นเครื่องส่อเจตนาว่าคนจีนถูกกำหนดให้คงความเป็นจีนด้วยการมีชื่อยาวหรือชื่อแบบจีน

การให้สิทธิทางกฎหมายแก่คนจีนหรือลูกหลานจีนให้มีสัญชาติไทยและให้มีชื่อไทยนามสกุลไทยเป็นสัญญาณแสดงว่ารัฐบาลไทยสมัยต่าง ๆ ต้องการให้คนจีนผสมกลมกลืนกลายเป็นคนไทย ยิ่งกว่านั้นยังมีการผสมกลมกลืนกันทางการศึกษาห้ามเปิดโรงเรียนจีน ทางการเมืองไทยห้ามรวมกลุ่มการเมือง ห้ามติดต่อกับคนจีนในประเทศจีน (ชาวจีนในประเทศไทยเกือบทั้งหมดอพยพมาจากภาคใต้ของสาธรณรัฐประชาชนจีน) และในทางวัฒนธรรม คือ ห้ามประกอบพิธีกรรมบางอย่าง และกระตุ้นให้ กลาย เป็นไทย

นโยบายของรัฐบาลไทยในการผสมกลมกลืนคนจีนให้กลายเป็นไทยไม่ใช่สิ่งที่ประสพความสำเร็จเพราะคนจีนจำนวนมากหรืออาจจะกล่าวได้ว่าส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นรุ่นปู่รุ่นพ่อหรือ รุ่นหลานก็ดีก็ยังเป็นคนจีนในสังคมไทยอยู่ ความเป็นจีนนั้นปรากฏอยู่ในด้านอาชีพพ่อค้าจีน ด้านนามสกุลไทย แบบจีนรวมทั้งด้านการปฏิบัตินอกพิธีของคนในระบบราชการไทยต่อ คนจีน (ทั้งที่มีสัญชาติไทยและที่เป็นต่างด้าว) แท้จริงการที่คนต่างด้าวจำนวนมากที่พำนักอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลาค่อนอายุของเขาและมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะโอนสัญชาติไทยตามนโยบาย และอยากโอนด้วยแต่ติดขัด ไม่สมารถจะโอนได้ก็นับได้ว่าเป็นเครื่องหมายของความล้มเหลวของนโยบายผสมกลมกลืนคนจีนอย่างหนึ่งและ เป็นความล้มเหลวที่มิใช่เนื่องมาจาก กฎหมาย หากเป็นเพราะลักษณะทางอำนาจของสังคมไทยมากกว่า

ความขัดแย้งหรือความไม่มีเอกภาพจึงมีอยู่ตลอดมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับที่เหนือเอกภาพของรัฐขึ้นไปเพราะปรากฏมีความตึงเครียดทั้งในด้านบุคลิกภาพและวัฒนธรรม คือทั้ง ๆ ที่ ราชการไทยและคนไทยต้องการให้คนจีนเป็นไทย แต่ก็ยังทำให้เขาคงความเป็นจีนเช่นในด้านนามสกุลและในด้านทัศนคติบางประการต่อ ลักษณะของคนจีน ทั้งในด้านสังคม กล่าวคือทั้งที่ ต้องการให้คนจีนร่วมสร้างเอกภาพสังคมไทย แต่ผู้ที่ประกอบอาชีพพ่อค้าก็ยังคงได้รับการปฏิบัติต่ออย่างเดียวกับพ่อค้าต่างด้าว และการประกอบอาชีพของผู้ที่ไม่ใช่ราษฎรอยู่ต่อไป ในที่สุดในทางการเมืองทั้ง ๆ ที่เป็นผู้มีสัญชาติไทยโดย กำเนิดแต่ คนจีน ก็ขาดโอกาสและสิทธิบริบูรณ์ในฐานะที่เป็นราษฎรของประเทศไทย
           
ทั้ง ๆ ที่คนจีนในเมืองไทยอาจจะอยากสนับสนุนเอกภาพของชาติไทยและทั้งที่รัฐบาลไทยและคนไทยอยากจะกลืนคนจีนให้กลายเป็นคนไทยเพื่อเอกภาพของชาติไทย แต่ความพยายามสร้างเอกภาพโดยให้ปฏิบัติอย่างเดียวกัน คือเป็นคนไทยเหมือนกันหมดนั้น เราเห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่ปราศจากการยอมรับความจริงขั้นมูลฐาน คือ ความแตกต่างกันของชนในหมู่หรือกลุ่มต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ เอกภาพนั้นถึงแม้จะมีขึ้นได้ก็จะเป็นเอกภาพของรัฐและรัฐดังกล่าวนั้นก็ต้องเป็นรัฐแบบเผด็จการอย่างแน่นอน อาจจะเคยมีคนหลงเข้าใจว่าเอกภาพชนิดนี้เราเคยมีอยู่ในอดีต เพราะในอดีตเรามีโอกาสเห็นความแตกต่างหรือความไม่พอใจน้อย.....เพราะทุกคนถูกกดศีรษะอยู่ในอำนาจของรัฐ

แต่ปัญหามีอยู่ตลอดมา คือปัญหาความไม่ผสมกลมกลืน เป็นไทยเหมือนกันหมด ของส่วนประกอบส่วนต่าง ๆ ของประชากรไทยในด้านของคนจีนนั้น เราได้ยินคุ้นหูกันอยู่ว่ามี ปัญหาคนจีนในประเทศไทย ที่เป็นปัญหานั้นมิใช่เพราะอะไรอื่นแต่เป็นเพราะรัฐบาลไทยพยายามแก้ปัญหาในทางการปกครองและทางกฎหมายโดยมิได้คำนึงถึงเนื้อหาสำคัญทางสังคมวิทยาเกี่ยวกับชนกลุ่มต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นสมาชิกร่วมกันของชาติไทยนั่นเอง

ใครจะกล้าเถียงว่า คนจีนในเมืองไทยมิใช่ส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญเสียด้วยของชาติไทย เอกภาพของชาติและสังคมไทยจะมีขึ้นได้อย่างไร ถ้าจะถืออยู่ต่อไปว่า ชาติไทยมีอยู่เพียงส่วนเดียวเท่านั้นคือ ส่วนทีเป็น ไทยแท้ และส่วนอื่น ๆ ทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นจีน เขมร ลาว ญาณ หรือมาเลย์ จำต้องหล่อหลอมให้เป็นไทยแท้ไปด้วย

ความพยายามที่จะหลอมหมู่มนุษย์ดังกล่าวก่อให้เกิดผลเสียแม้แต่มนด้านกฎหมายและการปกครองเพราะผู้ที่มิใช่ไทยแท้นั้นเมื่อถูกบังคับให้เป็นผู้ที่ทำให้เขาไม่สามารถจะหลอมตัวเป็นไทยแท้ได้

จึงเห็นจะถึงเวลาแล้ว ที่ไทยแท้ทั้งหลายจักได้คิดเสียว่า เอกภาพของชาติไทยนั้นจะมีได้ดีกว่าและแน่นแฟ้นกว่าถ้าชนส่วนอื่น ๆ ของชาติไทยจะมิถูกกำหนดให้เป็นไทยแท้แต่ได้รับโอกาสให้เป็นทางชาติพันธ์ วัฒนธรรม ศาสนา แม้แต่ภาษาและชื่อสกุล

เอกภาพจะมีไม่ได้ถ้าปราศจากความแตกต่าง แต่เอกภาพอันยิ่งใหญ่จะมีขึ้นและธำรงอยู่ไว้ได้แม้แต่ในความแตกต่างที่ใหญ่หลวง
           

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น