ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน
วิธีศึกษาลักษณะของสังคม
และวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้น
ถ้าพิจารณาแต่จากแง่ของความต่อเนื่องกันหรือการปรับปรุง ‘
ปฏิรูป’ โครงสร้างหรือระบอบของสังคมไทยโดยไม่คำนึงหรือไม่กล้าคิดถึง
‘การเปลี่ยนระบบสังคม’ ดังที่ฝ่ายถอยหลังเข้าคลอง
ไม่ว่าจะเป็นจารีตนิยมหรือเสรีนิยมต่างก็ยึดถือเป็นหลักเสมอมานั้น
ผลที่ได้รับก็คือ ความไม่มีวันเข้าใจว่าอะไรทำให้สังคมเปลี่ยน ซ้ำร้ายทั้งที่สิ่งที่ฝ่ายจารีตนิยมและเสรีนิยมพยายามทำอยู่ตลอดนั้นมันขัดขวางหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการเปลี่ยนแปลงก็กลับพากันหลงเข้าใจไปเสียด้วยว่า
ตัวนั้นแหละคือผู้นำการเปลี่ยนแปลงและสิ่งที่ตนทำ ‘ภายในระบบ’
จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้สังคม ‘
ดีขึ้น’ ‘เจริญขึ้น’ หรือ ‘พัฒนา’
ความพยายามที่จะแก้ไขความขัดแย้งประชาชน
หรือของสังคมโดยทางจารีตประเพณีและแบบเสรีนิยมนั้น ฝ่ายถอยหลังเข้าคลองทั้ง พวกที่ยอมรับว่าตนเป็นคนรุ่นเก่าและที่อ้างว่าตนเป็นพลังใหม่ต่างก็แสดงให้เห็นแล้วว่าล้มเหลว
การแก้ข้อขัดแย้งจึงไม่มีวันสำเร็จ
ตราบเท่าที่ฝ่ายจารีตนิยมและเสรีนิยมยังดื้อดึงจะแก้โดยวิธีเก่า
และตราบเท่าที่ซากเดนแห่งพลังถอยหลังเข้าคลองยังหลงเหลืออยู่ในสังคม เมื่อพิจารณาจากแง่ของการเปลี่ยนสังคมอย่างจริงจังแล้ว
จึงจำเป็นต้องสร้างภาพจำลองของสังคมและการเปลี่ยนแปลงสังคมเสียใหม่ ภาพจำลองที่จำต้องสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ต้องเป็นภาพของความขัดแย้ง
มิใช่ภาพของความสมานสามัคคีจอมปลอม หรือภาพของการพัฒนาดังที่ทำกันมามากแล้ว
แต่ไม่สำเร็จ
ภาพจำลองเก่าเพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมไทย
ก. ภาพการปรับตัวของสังคม
นักวิชาการ หรือ ปัญญาชนสำนักจารีตนิยม มักแสดงทัศนะให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้นเป็นกระบวนการแบบอัตโนมัติ
หรืออีกนัยหนึ่งมนุษย์ย่อมสมัครใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โครงสร้างและถาบันสังคมของไทยเหมาะสมและยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งพลังภายในของสังคมไทยนั้นเองก็ช่วยกำหนดความเร็วและวิถีของการเปลี่ยนแปลง
เช่นกล่าวกันว่าสังคมไทยสามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมตะวันตกหรือวิทยาการของตะวันตกที่เป็นประโยชน์แก่สังคมไทย
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเนื่องจากสังคมไทยเลือกเอาวิธีการ
หรือสถาบันบางอย่างที่เป็นประโยชน์แก่สังคมไทยมาปรับเป็นของไทย
และการพัฒนาจะเป็นการ ‘พัฒนาแบบไทย’
ข. ภาพความไม่สอดคล้อง
นักเสรีนิยมพากันเถียงว่าสถาบันสังคม หรือ
ค่านิยมของไทยบางอย่างขัดขวางและเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลง หรือ
ต่อต้านพลังในการพัฒนา มีการชี้ว่าการพัฒนาจะต้องทำอย่างประเทศนายทุนตะวันตกที่พัฒนาแล้ว
อะไรที่ไม่เหมือนหรือสอดคล้องกับแบบอย่างของประเทศตะวันตกจะต้องยกเลิก
และทำให้เหมือนประเทศตะวันตก นักเสรีนิยมไม่รังเกียจที่จะยกเลิกค่านิยมและจารีตบางอย่าง
แต่ในขณะที่เน้นในค่านิยมใหม่ เทคนิคใหม่
เขาก็หาได้คำนึงถึงความขัดแย้งขั้นมูลฐานที่มีอยู่ในสังคมไทยแต่ประการใดไม่
ทั้งทัศนะทางจารีตนิยมและเสรีนิยมนี้เป็นทัศนะที่ไม่สามารถช่วยให้ผู้วิเคราะห์มองเห็นสัมพันธภาพระหว่างฐานทางวัตถุกับโครงสร้างส่วนบนของสังคม
อันได้แก่สัมพันธภาพระหว่างฐานทางวัตถุกับโครงสร้างส่วนบนของสังคม อันได้แก่
สัมพันธภาพของมนุษย์ ซึ่งก็เกี่ยวเนื่องอย่างใกล้อยู่กับลักษณะทางเศรษฐกิจ
หรือลักษณะทางชนชั้นของมนุษย์นั่นเอง โครงสร้างส่วนบนเช่นระบบการปกครอง การศึกษา สาธารณสุข
สวัสดิการ นโยบายการเมือง ค่านิยม และอื่นๆ ในตัวของมันเองนั้น ถึงแม้จะเป็นพลังที่ควบคุมความสัมพันธ์ของมนุษย์อยู่อย่างแน่นแฟ้นก็หาใช่สิ่งกำหนดการเปลี่ยนแปลงขั้นมูลฐานไม่
เพราะตัวของมันเองหาไ ด้เปลี่ยนไปโดยอิสระ หรือเอกเทศต่อการเปลี่ยน ในด้านความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อปัจจัยการผลิตอย่างใดไม่
พูดอีกทีหนึ่งก็คือ เมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้วในระบบการผลิต ในที่สุด
สถาบันสังคมและค่านิยมก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย ทั้งนี้เพ่อความคล้องจองจะได้เกิดขึ้น
ในทางกลับกัน เมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสัมพันธภาพที่มนุษย์แต่ละชนชั้นมีอยู่ต่อปัจจัยการผลิต
กล่าวคือ ตราบใดที่ชนชั้นหนึ่งยังผูกขาดพลังทางเศรษฐกิจอยู่ แม้ชนชั้นนั้นจะอ้างว่าต้องการให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจลังคมและพยายามแสดงให้เชื่อว่ามีเจตนาจะปฏิรูป
หรือแก้ไขปัญหาของประชาชนและสังคม การแสดงดังกล่าวก็เป็นเพียงแสดงละคร หรือแสดงแต่ปาก
หาใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือมีทางเกิดขึ้นในชีวิตจริงไม่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ
การตั้งฐานทัพอเมริกาในประเทศไทย ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในด้านเศรษฐกิจ
คือมีงานใหม่เกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพและรอบๆฐานทัพ มีการเพิ่มพูนฝีมือด้านต่างๆ และเกิดรูปแบบทางเศรษฐกิจและสังคมใหม่ๆ
เพื่อสนองความจำเป็นของฐานทัพ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลกระทบต่อลักษณะทางสังคม
เช่นการอพยพเคลื่อนย้ายประชากร นิสัยและค่านิยมด้านบริโภค และเสพย์สุขสำราญ รวมไปจนถึงการขยายตัวของปัญหาสังคม
เช่นอาชญากรรม โสเภณี และยาเสพติด ตัวอย่างนี้สำแดงให้เห็นถึงพลังการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุที่ส่งอิทธิพลไปถึงลักษณะความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคมไทยซึ่งเป็นสังคมรองรับฐานทัพอเมริกัน
แม้ว่าโครงสร้างของสังคม ประเพณี
รวมถึงค่านิยมบางประการจะยังคงรักษารูปแบบและบทบาทของมันอยู่ มันก็จำเป็นต้องหันเหไปตามอิทธิพลทางวัตถุของจักรพรรดินิยมอเมริกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การเติบโตของเศรษฐกิจไทยโดยส่วนรวม ตั้งแต่เริ่มผูกพันกับอเมริกาและญี่ปุ่นมาเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สองนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ชัดว่าระบบค่านิยมและความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเก่าของไทย
นับแต่จะพังทลายและเปลี่ยนไปสู่ค่านิยมที่เน้นด้านบริโภคและวิถีชีวิตแบบสังคมนายทุน
กล่าวสรุปได้ว่า ภาพจำลองนั้นคือภาพจำลองที่แสดงถึงบทบาทสำคัญของฐานทางวัตถุที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น
มิใช่ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลและชนชั้นที่ควบคุมเศรษฐกิจอยู่มักกล่าวอ้างตลอดมา
ตราบใดที่ความขัดแย้งซึ่งนับวันทวียิ่งขึ้นเนื่องจากความเหลื่อมล้ำด้านวัตถุยังไม่เปลี่ยนแปลง
คือยังไม่มีการแก้ไขความขัดแย้ง สังคมก็จะไม่มีวันเปลี่ยน เพราะชนชั้นนายทุนผูกขาด
และนายทุนนายหน้าย่อมขัดขวางการเปลี่ยนแปลงจนถึงที่สุด
ภาพจำลองของการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย
เราจำต้องมีภาพจำลองที่แสดงออกถึงความเป็นจริงของสังคมอย่างแน่นอนแม่นยำ
และช่วยให้เราจับลักษณะเบื้องต้นของสังคม ซึ่งหมายถึงการที่สังคมมีพลังเคลื่อนไหวอยู่เสมอ
สังคมทุกระบบย่อมสร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นทดแทนสิ่งเก่าในขณะที่สังคมนั้นก้าวไปสู่ยุคใหม่สิ่งใหม่
ดังกล่าวนี้หมายถึงปัจจัยหรือเครื่องมือในการผลิตรูปแบบของการบริโภคและสถาบันสังคมทั้งมวลซึ่งผูกมัดสังคมเอาไว้
สัจธรรมขั้นปฐม
ซึ่งควบคุมสัมพันธภาพของมนุษย์ในประเทศด้อยพัฒนา หรือโลกที่สามที่เราต้องถือเป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์สังคมของเรา
คือการขูดรีดที่ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานับสี่ร้อยปีของ
ประเทศตะวันตก
ต่อมนุษย์ทั่วโลกในรูปของการพาณิชกรรม อาณานิคม และจักรพรรดินิยม ปัจจุบันนี้เราสามารถจำแนกขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงของโลกที่สาม
รวมทั้งรูปลักษณะทางสังคมและพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศล้าหลังทั้งหลายนี้ออกจากประวัติศาสตร์อันยาวนานที่โลกที่สามต้องเกี่ยวข้องอยู่กับโลกตะวันตก
การเปลี่ยนแปลงของสังคมเป็นผลของความขัดแย้งซึ่งประทุขึ้นในกระบวนการที่มีการสร้างเสริมสิ่งใหม่ของสังคมตัวอย่าง
ที่เห็นได้ชัดก็คือภาพจำลองที่มาร์กซเรียกว่า “รูปแบบผลิตของเอเชีย” (Asiatic Model of Production) ซึ่งเป็นลักษณะการผลิตของสังคมเอเชียมานับพันปี
รูปแบบผลิตดังกล่าวนี้มีพื้นฐานอยู่ที่วิธีผลิตและกลไกการผลิตที่แน่นอนตายตัว มีองค์กรสังคมที่คงรูป
และแทบจะไม่มีความขัดแย้งใดๆ ในหมู่มนุษย์ในสังคม แต่แล้วการแผ่ขยายอิทธิพลตะวันตก
คือลัทธิอาณานิคมล่าเมืองขึ้น หรือลัทธิกึ่งอาณานิคมก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
ทำให้ขาดการต่อเนื่องของกระบวนการผลิต และในด้านความสัมพันธ์ของมนุษย์ กล่าวคือสังคมเอเชียต่างๆถูกผนวกเข้ากับระบบเศรษฐกิจของโลกตะวันตก
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงกระทบกระเทือนต่อแบบแผนในการผลิต และการบริโภคที่มีอยู่ตามครรลองของจารีตประเพณี
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมเอเชียโดยทั่วไปจึงเนื่องมาจากการถูกบีบบังคับโดยเจ้าอาณานิคมตะวันตกโดยตรง
ในช่วงเวลาร้อยปีที่ผ่านมานี้ ระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศนายทุนเศรษฐี
เพียงกลุ่มน้อย กับประเทศยากจนล้าหลังทั้งในเอเชีย อัฟริกา และลาตินอเมริกา
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของประเทยากจนเพื่อก้าวไปสู่ความเสมอภาค
กับสังคมที่ได้เปรียบหรือเอาเปรียบนั้น ยังไม่มีทีท่าว่าจะประสบความสำเร็จในระยะเวลาสามสิบปีที่ผ่านมานี้
ประเทศล้าหลังยากจนทั้งหลายต่างก็พยายามหาช่องทางบรรลุเป้าหมายของตนเช่น โดยการพัฒนาอุตสาหกรรม
การลอกแบบตะวันตก รวมทั้งหารวางรากฐานสังคมนิยมและอื่นๆ กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายนั้นมีรากเหง้าอยู่ที่ความขัดแย้งหรือความเหลื่อมล้ำขั้นมูลฐานซึ่งประวัติศาสตร์ได้กำหนดไว้
ความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำนี้มีอยู่สองลักษณะคือ
1.
การมีฐานะที่ตกเป็นผู้ต้องพึ่งพาอาศัย หรือการเป็นเมืองขึ้นหรือกึ่งเมืองขึ้นของประเทศล้าหลังยากจน
ต่อประเทศนายทุนและถูกประเทศนายทุนบังคับควบคุมจักรกลและมาตรฐานการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งแผนขั้นตอนของการพัฒนาซึ่งแท้ที่จริงหมายถึงการควบคุมให้เปลี่ยนหรือไม่ให้เปลี่ยน
ให้สอดคล้องกับประเทศนายทุนนั่นเอง
2.
ความขัดแย้งอีกประเภทหนึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มและพลังต่างๆภายในสังคมแต่ละสังคม
กล่าวคือ การต่อสู้กันระหว่างพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงและพลังดั้งเดิมที่ต้องการรักษาของเก่า
และระหว่างกลุ่มหรือชนชั้นที่ควบคุมผลประโยชน์ กับชนชั้นที่ถูกยื้อแย่งผลประโยชน์
ความขัดแย้งและโต้ตอบซึ่งกันและกันระหว่างพลังหรือกลุ่มชนทั้งในระดับระหว่างประเทศและภายในประเทศนี้เป็นการสำแดงออกถึงจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง
ความขัดแย้งนั้นปรากฏให้เห็นในทางต่างๆ เช่นปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวของประชากร
ความเสื่อมโทรมของสังคม และความวุ่นวายทางการเมือง นอกนั้นยังเห็นได้ในสถาบันสังคม
เช่น โครงสร้างและหน้าที่ของครอบครัว ของศาสนา ของหน่วยงานต่างๆก็ถูกกระทบกระเทือน
การแก้ความขัดแย้งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง ในที่นี้บางทีก็เรียกกันว่า
“การเปลี่ยนแปลงแบบก้าวหน้า”
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า
สังคมไทยในปัจจุบันนี้กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญทั้งในขั้นมูลฐาน หรือตามทฤษฎีมาร์กซ
หมายถึงการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานการผลิต (เช่น) มีการสร้างอุตสาหกรรมการหมุนเวียน
และการผูกขาดอย่างมหาศาลในทางการเงินและการค้า และการบีบคั้นต่อระบบเกษตรกรรมด้วยกลไกของตลาด
เป็นต้น ทั้งในด้านความสัมพันธ์ทางสังคมก็มี เช่นอำนาจในทาง การเมือง ทางการศึกษา ปัญหาสังคม
การอพยพเคลื่อนย้าย และประเด็นเกี่ยวกับชนส่วนน้อยและอื่นๆ ความขัดแย้งภายในประเทศเป็นสิ่งที่เนื่องมาจากอิทธิพล
หรือพลังที่สังคมไทยมีอำนาจต่อรองน้อยมาก
พลังที่บีบคั้นและควบคุมลักษณะและทิศทางการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในปัจจุบันนี้
ได้แก่การที่ระบบกึ่งนายทุน กึ่งศักดินาถูกบังคับโดยให้ยอมรับเอาการพัฒนาแบบอาศัยตางชาติและการแทรกแซงของจักรพรรดินิยมหนึ่ง
เพื่อที่จะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสังคม เราจำต้องวิเคราะห์ความขัดแย้งที่เนื่องมาจากปัจจัยทั้งสองนี้ให้ถูกต้อง
และชี้ให้เห็นทางแก้ความขัดแย้งนั้น การวิเคราะห์โดยวิภาษวิธีดังกล่าวนี้จะช่วยให้เราเข้าถึงกระบวนการที่เป็นพลวัตรแห่งสังคมและช่วยให้เราเห็นความเกี่ยวพันส่วนต่างๆของปรากฏการณ์กับปรากฏการณ์เป็นส่วนรวม
ความช้าเร็วของการเปลี่ยนแปลงและลักษณะมูลฐานของการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยนั้นขึ้นอยู่กับว่าสถาบันและระบบเก่ารวมทั้งจักรพรรดินิยมจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงถึงขั้นรุนแรงสักเท่าใด
ความขัดแย้งในสังคมไทยแบ่งออกได้สองชนิดดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น คือ 1
ความขัดแย้งที่เกี่ยวกับสังคมและเศรษฐกิจภายใน 2
ความขัดแย้งที่เป็นผลของการที่สังคมไทยมีบทบาทและสถานภาพร่วมอยู่ในระบบเศรษฐกิจ ระหว่างประเทศ
1. ความขัดแย้งภายใน คือความขัดแย้ง ก.
ระหว่างเกษตรกรรมแบบเลี้ยงตัวเองของชาวนา กับเกษตรกรรมแบบนายทุนที่ทำให้ชาวนาหมดความสามารถพึ่งตัวเอง
ข. ระหว่างกรุงกับชนบท หรือกรุงเทพ กับส่วนที่เหลือของประเทศไทย ค.
ระหว่างอิทธิพลตะวันตกกับสังคมไทยเดิม ง. ระหว่างสถาบันสังคมประเพณีกับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดหรือแบบทุนนิยม
จ.ระหว่างระบบเจ้าขุนมูลนายหรือศักดินากับมวลชน ฉ. ระหว่างค่า
นิยมนายทุนตะวันตกกับค่านิยมนายทุนไทยเดิม พลังขั้นปฐมที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งทั้งหลายนี้คือ
การบุกรุกแทรกแซงเข้าไปสู่ระบบสังคมไทยเดิมของเศรษฐกิจระบบตลาด ซึ่งก่อให้เกิดรูปแบบของพฤติกรรมอย่างใหม่
ความอยากได้ของใหม่ การจับจ่ายบริโภคอย่างใหม่ บุคลิกภาพใหม่ และผลตอบแทนอย่างใหม่
ทั้งหมดนี้สร้างความตึงเครียดอย่างมหาศาลแก่โครงสร้างสังคมที่มีอยู่เดิมและแก่ระบบจัดสรรทรัพยากร
และผลได้จากสังคมในหมู่คนไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
2. ความขัดแย้งจากพลังภายนอก ความขัดแย้งนี้คือความขัดแย้งระหว่างสังคมไทย และทิศทางในการเปลี่ยนแปลงที่อิทธิพลของตลาดโลกภายนอกเป็นสิ่งกำหนดขึ้น
ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา สัมพันธภาพระหว่างประเทศไทยกับเศรษฐกิจของโลกภายนอกเป็นสัมพันธภาพที่ทำให้ประเทศไทยตกเป็นรอง
รูปแบบของการพัฒนาก็คือการพัฒนาแบบถูกบีบบังคับโดยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ
แบบนายทุนซึ่งก่อให้เกิดคนงานฝีมือ การขยายของเอกนคร การเติบโตของชนชั้นนายทุนภายในประเทศอื่นๆ
ดังกล่าวแล้วข้างต้น การแทรกแซงของต่างชาติเป็นไปตามวิถีทางต่างๆ เริ่มตั้งแต่การหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
การให้ความหมายของมาตรฐานทางวัฒนธรรม การเพาะนิสัยฟุ่มเฟือย รวมถึงการชักจูงจิตใจและพฤติกรรมแบบวัตถุนิยม
นโยบายร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในสงครามอินโดจีนยังผลให้ทหารต่างด้าวจำนวนมหาศาลหมุนเวียนเข้ามาตั้งอยู่ในประเทศไทย
ทำให้ความตึงเครียดในสายใยของสังคมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ความสัมพันธ์อย่างเป็นรองที่เรามีอยู่กับจักรพรรดินิยม
หรือการควบคุมหรือกำหนดแนวทางของการเปลี่ยนแปลงในด้านพลังการผลิตได้เป็นไปตามแบบที่สอดคล้องกับพลังข้างนอกนั่นเอง
เป็นเหตุให้การแก้ข้อขัดแย้งของประชาชนและสังคมไทยเป็นไปได้ยากมาก เพราะตราบเท่าที่มวลประชาชนไทยยังถูกเหนี่ยวรั้งให้สัมพันธ์อยู่กับพลังอันนั้น
และตราบเท่าที่นโยบายแทรกแซงทางทหารของสหรัฐอเมริกายังคงอยู่ การแก้ความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของประชาชาติไทย
จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการทลายสิ่งที่เป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง และความตึงเครียด ซึ่งได้แก่พลังขัดขวางและเป็นปฏิกิริยาต่อความก้าวหน้าและการพัฒนาสังคมดังกล่าวมาแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น